สามนิ้วกร้าว เคลื่อนทะลุฟ้า แนวรบยืดเยื้อ แม้ไร้แกนนำ

การออกมาเคลื่อนไหวของ “เครือข่ายม็อบสามนิ้ว” เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่มีแนวร่วมนัดหมายเคลื่อนไหวประกอบด้วยกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม, กลุ่มทะลุฟ้า, กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย DRG, กลุ่มเหล่าทัพราษฎร, กลุ่มศาลายาเพื่อประชาธิปไตย, SUPPORTER THAILAND, We Volunteer และคณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.) เพื่อก่อม็อบประท้วง-ไม่ยอมรับ ผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดี “ล้มล้างการปกครอง” ที่ออกมาเมื่อ 10 พ.ย.

ที่สุดท้ายจบการเคลื่อนไหวที่บริเวณหน้าสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย แถวถนนสาทร โดยแม้จะพบว่า แนวร่วมสนับสนุนการเคลื่อนไหว จะไม่ได้มีมากเหมือนตอนช่วงม็อบติดลมบนแบบปลายปีที่แล้ว อีกทั้งแกนนำในการเคลื่อนไหวก็ไม่ได้เป็นระดับหัวแถวตัวท็อปมาคุมขบวน แต่ก็เป็นการเคลื่อนไหวที่รัฐบาล-หน่วยงานความมั่นคง คงประมาทไม่ได้ ต้องมีการจับตามองอย่างใกล้ชิด

เพราะรูปแบบการเคลื่อนไหวที่เห็นชัดว่า แม้แกนนำตัวหลักอย่าง น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง แกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ที่เป็นคนเคลื่อนไหวประกาศนัดชุมนุม จะไม่ได้ไปร่วมปรากฏตัวคอยคุมม็อบเต็มตัว แต่ม็อบก็ยังสามารถก่อตัว เคลื่อนไหวได้ในระดับหนึ่ง แม้จะไม่มีแนวร่วมมากเมื่อเดิม

โดยสาเหตุใหญ่ที่ รุ้ง ไม่ได้ไปนำทีมเคลื่อนไหวที่บริเวณหน้าสถานทูตฯ คงเพราะเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาคดีความตามมาโดยเฉพาะเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการถูก “ถอนประกัน” ในคดีที่ได้รับการประกันตัวออกมา  หลังศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ แกนนำม็อบ อานนท์ นำภา-ภาณุพงศ์ จาดนอก และรุ้ง ยุติการเคลื่อนไหวชุมนุมในลักษณะที่จะเป็นการเข้าข่ายการล้มล้างสถาบันฯ โดยในสามคนดังกล่าว มีเพียง รุ้ง คนเดียว ที่อยู่นอกเรือนจำ

ด้วยเหตุนี้ การเคลื่อนไหวตลอดทั้งวัน 14 พ.ย. จึงไม่แปลกที่จะไม่มีใครเห็น รุ้ง ปรากฏตัวอย่างเป็นทางการ

ส่วนที่บอกข้างต้นว่า การเคลื่อนไหวของม็อบสามนิ้ว รัฐบาลและหน่วยงานการข่าวและความมั่นคงทั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ- สำนักงานตำรวจสันติบาล- สภาความมั่นคงแห่งชาติ -สำนักข่าวกรองแห่งชาติ -ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ กองบัญชาการกองทัพไทย ยังคงต้องเกาะติดการเคลื่อนไหวของม็อบสามนิ้วต่อไป ก็เพราะหากดูรูปแบบการเคลื่อนไหวของม็อบเมื่อ 14 พ.ย. ที่เป็นการเคลื่อนไหวแบบเป็นทางการเต็มรูปแบบของเครือข่ายสามนิ้ว จะพบว่า รอบนี้ นอกจากปฏิเสธ-ต่อต้าน คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ก็พบว่า ม็อบสามนิ้วยังพุ่งเป้าตรงไปที่สถาบันฯอีกด้วย เห็นได้จาก การใช้แคมเปญการเคลื่อนไหวนัดชุมนุมที่นัดหมายชุมนุม “ต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” อีกทั้งการที่กลุ่มม็อบเดินขบวนไปยังหน้าสถานทูตเยอรมนีฯ ก็เป็นเรื่องที่หลายคนเข้าใจกันได้ไม่ยากว่า

“ทำไมถึงต้องเป็นสถานทูตเยอรมนี ประจำประเทศไทย” 

เพราะก่อนหน้านี้เมื่อ 26 ต.ค. 2563 กลุ่มม็อบสามนิ้วนำโดย ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือมายด์ กับพวกก็เคยมาชุมนุมและอ่านแถลงการณ์หน้าสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2563 จนถูกดำเนินคดีและอัยการสั่งฟ้องในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ 116 มาแล้ว

ยิ่งเมื่อพิจารณาจากแถลงการณ์ของม็อบที่มีการอ่านที่บริเวณหน้าสถานทูตฯ ก็จะพบว่า มีเนื้อหาที่เห็นชัดว่า กลุ่มม็อบสามนิ้ว มารอบนี้ เคลื่อนไหวแบบ “ทะลุฟ้า” อีกครั้ง เพราะเนื้อหาในแถลงการณ์หลายวรรคตอน ท่าทีของกลุ่มม็อบสามนิ้ว วันนี้เปิดหน้าชัดแล้วว่า จะไม่รบ ไม่ชนกับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ไปสูงกว่านั้น

“นี่ไม่ใช่การเคลื่อนไหวเพื่อไล่ประยุทธ์ นี่ไม่ใช่การเคลื่อนไหวเพื่อยกเลิก 112 นี่ไม่ใช่การเคลื่อนไหวเพื่อปฏิรูปฯ นี่ไม่ใช่การเคลื่อนไหวเพื่อล้มล้างฯ แต่คือการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพื่อปกป้องระบอบประชาธิปไตย”

เมื่อม็อบสามนิ้ว ยังไม่เลิกการเคลื่อนไหว และมีท่าทีการเคลื่อนไหวที่พุ่งเป้าไปไกลมากกว่าพลเอกประยุทธ์ โดยจะเห็นได้ชัดว่า ช่วงหลัง กลุ่มม็อบ ไม่ได้เคลื่อนไหวในประเด็นเชิงการเมือง เช่น เรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ลาออกหรือยุบสภาฯหรือเรียกร้องเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว แต่มุ่งหมายไปที่เรื่องเชิงสถาบันฯ เป็นหลัก เช่นการเรียกร้องให้ “ยกเลิกมาตรา 112″ บวกกับการเคลื่อนไหวหน้าสถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทยและการออกแถลงการณ์ที่มีเนื้อหาหมิ่นเหม่ไม่น้อย จึงทำให้ต้องจับตาดูว่า หลังจากนี้ การเคลื่อนไหวของม็อบสามนิ้ว จะยกระดับไปถึงขั้นไหน หลังเปิดหน้าชัด หลังจากนี้ พุ่งเป้าการเคลื่อนไหวแบบ ทะลุฟ้า เป็นหลัก

ขณะเดียวกัน ฝ่ายตรงข้ามม็อบ ก็คงไม่ยอมอยู่ในสภาพตั้งรับ จึงเริ่มเห็นการออกมาเคลื่อนไหวเพื่อจี้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะตำรวจจัดการกับแนวร่วมการเคลื่อนไหว เพราะมองว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าว เท่ากับเป็นการฝ่าฝืนคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า

“การกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 3 คน เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรา 49 และสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้ง 3รวมทั้งองค์กรเครือข่าย เลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วยตามมาตรา 49 วรรคสอง”

ฝ่ายตรงข้ามม็อบสามนิ้ว จึงชี้ว่าเมื่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า การเคลื่อนไหวของแกนนำม็อบที่มี “เครือข่ายองค์กร” เกี่ยวข้องด้วย เข้าข่ายมีพฤติการณ์ “ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” และเป็นคำวินิจฉัยที่มีผลผูกพันกับทุกองค์กร ดังนั้น ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็น่าจะขยายผลเอาผิดได้

ประมวลทิศทางการเคลื่อนไหวของม็อบสามนิ้ว นับจากนี้คงออกมาในรูปแบบเคลื่อนไหวลักษณะเช่นนี้ไปเรื่อยๆตามจังหวะและสถานการณ์ ในยามที่ไร้แกนนำตัวท็อปออกมาเป็นผู้นำการชุมนุม ทำให้ การเคลื่อนไหวคงเคลื่อนแบบระยะยาว เคลื่อนไปพักไป ตามจังหวะ ที่เรียกกันว่า รบยืดเยื้อ

โดยที่ไม่ได้มีหลักประกันใดๆว่า จะต้องเคลื่อนไหวแบบนี้ไปถึงเมื่อใดและระยะยาวม็อบจะชนะหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ สู้ไป-ม็อบกันไป บรรดาแกนนำม็อบ ทั้งหลายคงต้องทำใจ เพราะสิ่งที่ตามมาก็คือ คดีความต่างๆ ที่จะเป็นเพิ่มขึ้นเป็นหางว่าว และจะเป็นชนักติดหลังไปอีกหลายปี

แสดงความเห็น