จากเดิมคาดการณ์กันว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) น่าจะดึงเวลาพิจารณาคดีนโยบายเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของ ‘ก้าวไกล’ เข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขออกไปก่อน เพราะไม่เห็นเหตุความจำเป็นที่จะต้องเร่งคดีในช่วงนี้
เนื่องจากเพิ่งเลือกตั้งกันมา และเสียงระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านห่างกันมาก
เสถียรภาพรัฐบาลค่อนข้างแข็งแรง ยากที่ ‘ก้าวไกล’ ในฐานะฝ่ายค้านจะล้มได้ในสภาผู้แทนราษฎร
อีกทั้งหากคิดจะยุบพรรคก้าวไกลทิ้ง เพื่อจำกัดศัตรูในสนามเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบปิดเกม แต่ดึงเชงไปตอนเลือกตั้งดีกว่า
ยุบพรรคก้าวไกลตอนนี้ เต็มที่ได้แค่ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคไม่กี่คน ที่สำคัญ ‘พลพรรคสีส้ม’ สามารถโยกย้ายสำมะโนครัวไปตั้งพรรคใหม่ได้
เรียกว่า มีเวลาเตรียมตัวต่อสู้ในสนามเลือกตั้งครั้งหน้าสบาย ไม่ว่าจะใช้ชื่ออะไร
ขณะเดียวกัน การยุบพรรคก้าวไกลตอนนี้ ยิ่งทำให้คะแนนสงสารไหลเทไปทางนั้น
แต่ ‘กกต.’ กลับปิดเกมเร็ว ด้วยการมีมติเอกฉันท์ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคเลย
และหลายฝ่ายคาดการณ์กันว่า คดีนี้ ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ ไม่น่าจะใช้เวลานาน เนื่องจากมีคำวินิจฉัยเดิมของตัวเองในคดีนี้อยู่แล้ว
จุดประสงค์การยุบพรรคก้าวไกลตั้งแต่ต้นเกม จึงถูกมองไปเป็นประเด็นอื่น โดยเฉพาะทฤษฎี ‘เชือดไก่ให้ลิงดู’
ซึ่งเป้าประสงค์หลักน่าจะอยู่ที่ ‘พรรคเพื่อไทย’ มากกว่า
อย่างที่รู้กันว่า ในกลางเดือนพฤษภาคม 2567 ที่จะถึงนี้ สว. 250 ชีวิต ที่ถูกแต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะหมดวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี
ในขณะเดียวกัน สว.หลังจากนี้ที่ได้รับการเลือกเข้ามาใหม่ จะไม่มีอำนาจโหวตนายกรัฐมนตรีอีกแล้ว เพราะพ้นเวลาของ ‘บทเฉพาะกาล’ ที่ให้สิทธิเรื่องนี้เอาไว้แค่ 5 ปี เท่ากับวาระของตัวเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังกลางเดือนพฤษภาคมนี้ ถ้า ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันลาออก การเลือกผู้นำคนใหม่มาแทนที่ จะใช้เพียงเสียง สส. 500 คนเท่านั้น
โดยคนที่จะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี แค่มีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ทำให้หลังจากเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป อำนาจต่อรองของกลุ่มอำนาจเก่าที่มีต่อพรรคเพื่อไทยจะน้อยลง
ซึ่งก่อนหน้านี้มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า เป็นช่องทางและโอกาสดีที่พรรคเพื่อไทยสามารถรีเทิร์นกับพรรคก้าวไกลได้ในตอนนั้น หากคิดจะทำ!
ทางสะดวกโล่งสบาย พรรคก้าวไกลมี 150 เสียง พรรคเพื่อไทย มี 141 เสียง เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องมีพรรคอะไหล่อื่นๆ ก็ได้
ฉะนั้น เมื่อจึงต้องเชือด ‘ก้าวไกล’ เพื่อป้องปราม ‘เพื่อไทย’ ไม่ให้คิดจะกลับ หรือเป็นการปิดช่องทางนั่นเอง
เป็นการทำให้เห็นว่า กลุ่มอำนาจเก่ายังคงมีกลไกล และเครื่องไม้เครื่องมือในการต่อรองกับพรรคเพื่อไทย ไม่ได้มีแต่เพียง สว.เท่านั้น