“สมศักดิ์” ร่วมสถาปนาเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ สั่ง สทนช. วางแผนพัฒนาแหล่งน้ำ

“รองนายกฯสมศักดิ์” ลุย บ้านขุนแม่เหว่ย ร่วมสถาปนาเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ลำดับที่ 22 ยัน รัฐบาลให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและกฎหมาย พร้อมสั่ง สทนช. เร่งวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำช่วยกลุ่มชาติพันธุ์

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลและชาวกะเหรี่ยง พร้อมด้วย นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พลตำรวจตรีบรรพต มุ่งขอบกลาง รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน นายอภินันท์ ธรรมเสนา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) ลงพื้นที่บ้านขุนแม่เหว่ย (แม่ปอคี) อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ เครือข่ายภาคประชาสังคม พี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านขุนแม่เหว่ย (แม่ปอคี) นายดิษฐ์ชัย สันติกุลอดีตรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตาก และนายชัยณรงค์ มะเดช นักการเมืองในพื้นที่ ให้การต้อนรับ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้ ของรองนายกฯ ต้องขึ้นเฮลิคอปเตอร์จากท่าอากาศยานนานาชาติแม่สอด เพื่อเปิดงานการสถาปนาเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ บ้านขุนแม่เหว่ย (แม่ปอคี) เนื่องจากระยะทางการเข้าพื้นที่เป็นไปด้วยความยากลำบาก พร้อมทั้งยังร่วมเป็นสักขีพยานในการลงบันทึก MOU ร่วมกับ 22 หน่วยงาน เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นต้น พร้อมกันนี้ยังได้มีการลงพื้นที่ ติดตามระบบโทรมาตรอัตโนมัติ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูล สถานการณ์น้ำ แผนการจัดการน้ำ เตือนอุทกภัยน้ำหลาก

นายสมศักดิ์ เปิดเผยว่า ตนมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มาเยือนและพบปะพี่น้อง กลุ่มชาติพันธุ์ชาวกะเหรี่ยง การร่วมสถาปนาเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์บ้านขุนแม่เหว่ย(แม่ปอคี) เป็น พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ลำดับที่ 22 ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ตนในฐานะของตัวแทนรัฐบาล ขอยืนยันว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญในเรื่องของกลุ่มชาติพันธุ์เป็นอย่างมาก ท่านนายกฯ ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิต การยอมรับความหลากหลายทางอัตลักษณ์ ความเสมอภาคเท่าเทียมและสิทธิพื้นฐานที่กลุ่มชาติพันธุ์จะได้รับ

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนเรื่องของ กฎหมาย รัฐบาลได้ผลักดัน พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งรัฐบาลได้เสนอร่างดังกล่าวต่อสภาผู้แทนราษฎรไปเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 โดยที่ประชุมมีมติ 414 เสียงและรับหลักการในวาระหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย ปัจจุบันร่างกฎหมายดังกล่าว อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการวิสามัญร่วมกับร่างกฎหมายจากภาคประชาชนและพรรคการเมืองรวมเป็น 5 ฉบับ นี่ก็ทำให้เห็นว่าทุกภาคส่วนให้ความสำคัญกับพี่น้องทุกท่าน และผมหวังว่ากฎหมายฉบับนี้จะแล้วเสร็จได้อย่างรวดเร็ว

“ผมขอยืนยันว่ารัฐบาลให้การสนับสนุนพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่มอย่างเสมอภาค เพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกัน อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และอยากเห็นกลุ่มชาติพันธุ์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีรายได้ มีที่ดินทำกิน ดังนั้นทุกท่านต้องให้ความร่วมมือกับส่วนราชการ เดินหน้าให้ชุมชนสร้างประโยชน์ในพื้นที่และให้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการในพื้นที่ตัวเอง การสถาปนาในวันนี้จะช่วยส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และที่สำคัญที่สุด คือการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต สามารถพึ่งพาตัวเองได้ และผมยังหวังว่าอีกไม่นานนี้หากทุกท่านร่วมมือกันเราจะมีเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตชาติพันธุ์ ในระดับที่ 23 ต่อไปครับ” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

ด้านนายสุรสีห์ เปิดเผยว่า จากการติดตามในพื้นที่ของ สทนช. พบปัญหาด้านน้ำอุปโภคบริโภค ยังไม่ได้คุณภาพ จากนี้ไปจะติดตามและประสานหน่วยงานเพื่อเร่งดำเนินการแก้ไข

นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ ยังเปิดเผยอีกว่า บ้านขุนแม่เหว่ย เป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ มากว่า 425 ปี เวลานี้มีประชากร 276 คน 51 หลังคาเรือน มีพื้นที่ 8,386 ไร่ ทำภาคเกษตรหมุนเวียนเป็นส่วนมาก ดังนั้นเวลานี้รัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรีที่มีท่านนายกฯ เศรษฐาเป็นผู้นำได้เห็นชอบโครงการโคแสนล้าน เพื่อต้องการให้พี่น้องเกษตรกรมีรายได้เสริมและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันพื้นที่นี้มีความเหมาะสมในการทำปศุสัตว์ เพราะโคไม่ไปทำลายต้นไม้ ดังนั้นจะประสานให้กองทุนหมู่บ้านทำความเข้าใจถ่ายทอดความรู้ให้แก่พี่น้องบ้านขุนแม่เหว่ย ว่าจะเข้าร่วมโครงการได้แบบใดบ้าง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการลงพื้นที่โครงการโคแสนล้านได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากพี่น้องชาวชาติพันธุ์เพราะมองว่าเป็นโอกาส พร้อมกันนี้รองนายกฯยังได้มอบเชือกวัดน้ำหนักโคให้เป็นที่ระลึกอีกด้วย

แสดงความเห็น