ทักษิณ-พท.ลุ้นหนักสุด หวังหาร 100 ฉลุย 30 พ.ย.นี้ 

มาลองมองไกลทางการเมือง ไปว่า หากวันพุธนี้ 30 พ.ย. ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพ.ร.บ.การเลือกตั้งส.ส.ฯ ที่มีหัวใจสำคัญคือ “สูตรคำนวณส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อแบบหาร100” ไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ จะเกิดอะไรขึ้นกับการเมือง-การเลือกตั้ง 

ผลก็คือ จะเป็นการเลือกตั้งที่ใช้บัตรสองใบ โดยมีส.ส.เขต 400คน –ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน โดยใช้ 100 ไปหารคะแนนในบัตรลงคะแนนเสียงปาร์ตี้ลิสต์ เพื่อหาจำนวนที่นั่งส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของแต่ละพรรคการเมืองในสภาฯ ซึ่งแตกต่างจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 อย่างมากที่ตอนนั้นเป็นระบบบัตรใบเดียว โดยมีส.ส.เขตแค่ 350 คน –ปาร์ตี้ลิสต์ 150 คน 

หากผลออกมาแบบนี้ เห็นชัดๆ ฝ่ายที่จะแฮปปี้การเมืองมากสุดก็คือ “เพื่อไทย-ทักษิณ ชินวัตร” เพราะสูตรเลือกตั้งแบบ “บัตรสองใบ-หาร100ปาร์ตี้ลิสต์” คือระบบการเลือกตั้งที่ทักษิณ-เพื่อไทย คุ้นเคยมากที่สุด ตั้งแต่ยุคไทยรักไทย เพราะระบบดังกล่าวที่เป็นแบบเขตเดียวเบอร์เดียว มีส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์หนึ่งร้อยคน ทำให้ทักษิณ ชนะการเลือกตั้งสองรอบติดกันตอนเลือกตั้งปี 2544 กับ 2548 ในยุคไทยรักไทย 

ส่วนเลือกตั้งปี 2550 ยุคพรรคพลังประชาชน แม้จะเปลี่ยนเป็นระบบบัตรสองใบ แต่ระบบเขตเปลี่ยนมาใช้เป็นแบบ “พวงใหญ่” ไม่ใช่เขตเดียวเบอร์เดียว ขณะเดียวกัน แม้จะมีส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ แต่ก็ลดเหลือ 80 คน และใช้ “ระบบสัดส่วน” โดยแบ่งพื้นที่ประเทศไทยออกเป็น 8 กลุ่มจังหวัด ซึ่งเป็นระบบการเลือกตั้งที่รัฐธรรมนูญปี 2550 ออกแบบมาเพื่อ “สกัดพรรคทักษิณ” โดยเฉพาะ แต่ก็ต้านไม่อยู่เพราะพรรคพลังประชาชน ก็ยังชนะเลือกตั้ง ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจนสมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้เป็นนายกฯ  

จนต่อมา ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราเปลี่ยนระบบเลือกตั้ง เป็นแบบเดิมคือ บัตรสองใบ แต่มี ส.ส.เขต 375 คน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์125 คนผลทำให้ เพื่อไทยชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 โดยได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งและทำให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกฯ 

ด้วยเหตุนี้ ระบบเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินวันพุธนี้ 30 พ.ย.ว่า ร่างพ.ร.บ.การเลือกตั้งส.ส.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ระบบเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น คือระบบที่ “เข้าทาง” ฝ่ายทักษิณ –เพื่อไทยมากที่สุดนั่นเอง เพราะเป็นระบบแบบการเลือกตั้งที่มีจำนวนส.ส.เขตและปาร์ตี้ลิสต์ แบบเดียวกับเมื่อปี 2544 และ 2548 โดยเฉพาะตอนเลือกตั้งปี 2548 ที่ไทยรักไทย ชนะแลนด์สไลด์ถึง 370 เสียงจนตั้งรัฐบาลพรรคเดียวมาแล้ว 

จึงไม่แปลกที่ เพื่อไทยจะเชียร์ระบบหาร 100 มากที่สุด ในบรรดาพรรคการเมืองทั้งหมด เพราะเชื่อว่าระบบนี้ จะเติมเต็ม-สานฝัน “แลนด์สไลด์” ที่ทักษิณ-เพื่อไทย ฝันทั้งเช้าทั้งเย็น 

โดยแม้จะพบว่า พลังประชารัฐและประชาธิปัตย์ จะมีท่าทีสนับสนุนสูตรนี้เช่นกัน แต่พบว่าเสียงในพรรคพลังประชารัฐและประชาธิปัตย์ ก็มีสภาพ “เสียงแตก”กันเอง เพราะก็มีหลายคนในพรรคที่ไม่เห็นด้วยกับสูตรนี้ จนทุกวันนี้ ยังมีการพูดกันในพลังประชารัฐและประชาธิปัตย์ว่า “พลาดท่าการเมือง” ที่ไปเอาด้วยกับเพื่อไทย ทั้งที่เห็นอยู่ว่า สูตรเลือกตั้งแบบนี้ จะทำให้เพื่อไทย ชนะเลือกตั้งและจะได้ส.ส. ทั้งระบบเขตและปาร์ตี้ลิสต์แบบเป็นกอบเป็นกำ 

โดยแม้ก่อนหน้านี้ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะพลังประชารัฐ จะเคย “พลิกไปพลิกมา” เพราะเคยถึงขั้น ไปร่วมโหวตเอาด้วยกับ “หาร500”ที่กลุ่มพรรคเล็กนำโดย นพ.ระวี มาศฉมาดล จากพรรคพลังธรรใหม่ เคลื่อนไหว ในตอนพิจารณาร่างพ.ร.บ.การเลือกตั้งส.ส.ฯวาระสอง มาแล้วจนทำให้หาร 100 ตามร่างคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.การเลือกตั้งฯ โดนตีตกไปกลางที่ประชุมร่วมรัฐสภา 

แต่ต่อมา พลังประชารัฐ พลิกอีกรอบ หลังคนในพรรคประเมินว่า หาร 500 ไปต่อได้ยาก เพราะน่าจะขัดรัฐธรรมนูญมากกว่าหาร 100  เลยร่วมกับสมาชิกวุฒิสภาสายป่ารอยต่อฯ โดยมีบางพรรคในขั้วรัฐบาลเอาด้วย จับมือกัน ทำให้รัฐสภาพิจารณาร่างพ.ร.บ.การเลือกตั้งฯของกรรมาธิการฯไม่ทันภายใน 180 วัน จนหาร 500 สะดุดแบบหลายคนไม่คาดคิด 

จนทำให้กลายเป็นว่า ร่างพ.ร.บ.เลือกตั้งส.ส.ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ใช้หาร 100 คือร่างที่จะถูกนำมาประกาศใช้เป็นกฎหมาย 

แต่ก็เป็นไปตามคาด เพราะฝ่ายหนุนหาร 500 ก็ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆจนมีการล่ารายชื่อสมาชิกรัฐสภาได้จำนวนหนึ่งไปยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความเรื่องหาร 100 ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ รวมถึงให้วินิจฉัยว่ากระบวนการทำให้รัฐสภาพิจารณาร่างพ.ร.บ.เลือกตั้งไม่แล้วเสร็จใน 180 วันดังกล่าว ด้วยการทำให้รัฐสภาล่มสี่ครั้งติดต่อกัน น่าจะเป็นการทำโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ 

ซึ่งหลังศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณาหลังรับคำร้องมาได้ร่วมสองเดือน สุดท้าย ก็จะชี้ขาดกันพุธนี้ 30 พ.ย.นี้ 

มองอีกด้าน ฝ่ายที่ลุ้นหนักเช่นกัน ที่อยากให้หาร100 ไปต่อไม่ได้ โดยหวังลึกๆว่า “หาร 500 โดยมีเรื่องของส.ส.พึงมี รวมอยู่ด้วย” ตามที่เคยชนะโหวตในวาระสอง ก่อนหน้านี้ อาจจะกลับมาได้อีก คนที่ลุ้นแนวนี้ ว่ากันตามจริงๆ ลึกๆแล้ว มีทั้งคนในฝ่ายพรรครัฐบาลไม่ว่าจะเป็น พรรคพลังประชารัฐ-ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์ หรือพรรคฝ่ายค้าน พรรคอย่าง ก้าวไกล-เสรีรวมไทย-ประชาชาติ จริง ๆหากให้เลือกระหว่างหาร 100 กับหาร 500 ที่ให้คำนวณแบบส.ส.พึงมี เชื่อว่า แกนนำ-ส.ส.ในพรรคเหล่านี้ เชียร์หาร 500 –ส.ส.พึงมี จำนวนไม่น้อย เพียงแต่ออกหน้าไม่ได้ เพราะจะขัดกับแนวทางพรรคที่แสดงออกต่อสาธารณชน 

แต่ที่ลุ้นหนักสุดให้หาร100 โดยล้ม แล้วหาร 500   กลับมา ก็คือพวก “พรรคเล็ก-พรรคตั้งใหม่”ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพรรคที่มีส.ส.ในสภาฯ อย่าง เสรีรวมไทย-เพื่อชาติ-ประชาชาติ-รักษ์ผืนป่าฯ –ชาติพัฒนากล้า-รวมพลัง ของดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์  และพวกพรรคหนึ่งเสียง ที่หวังจะกลับมาอีกครั้งหลังเลือกตั้งเช่น พลังธรรมใหม่ เป็นต้น 

รวมถึงพรรคตั้งใหม่ทั้งหลาย ก็มีลุ้นในใจ หวังหาร 100 สะดุดเช่นกัน   ไม่ว่าจะเป็น ไทยสร้างไทย-สร้างอนาคตไทย-รวมแผ่นดิน ของพลเอกวิชญ์ เทพหัสดินฯ –ไทยภักดีของนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หรือแม้แต่ “รวมไทยสร้างชาติ” ที่มี พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นหัวหน้าพรรคและกำลังจะได้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นแคนดิเดตนายกฯของ รวมไทยสร้างชาติ แม้จริงอยู่ว่า รวมไทยสร้างชาติจะเน้นส.ส.เขต มากกว่าบัญชีรายชื่อ แต่หากว่าระบบเลือกตั้งเป็นหาร 500 มันก็ยิ่งทำให้ พรรคมีโอกาสได้ส.ส.บัญชีรายชื่อมากขึ้นกว่าหาร 100 แน่นอน 

เพียงแต่ปัญหานี้ก็คือ หากสุดท้าย ถ้าจะใช้หาร 500 อีกรอบ ก็ต้องถูกฝ่ายเพื่อไทย ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความเพื่อล้มกระดานหาร 500 เช่นกัน และมีความเสี่ยงสูงไม่น้อยที่จะสะดุด จนไปต่อไม่ได้ เรียกได้ว่าทั้งสองสูตร มีทั้งคนชอบ-ไม่ชอบ และคนจ้องจะล้มด้วยกันทั้งสิ้น 

แต่ลำดับแรก รอดูผลเส้นทางหาร 100 กันก่อนวันพุธนี้ 30 พ.ย.ว่าจะรอดหรือจะร่วง แล้วการเมืองฉากต่อไป จะเป็นอย่างไร จะมาฉายภาพให้เห็นชัดๆ 

แสดงความเห็น