การให้สัมภาษณ์ประเด็นคอขาดบาดตาย มีผลกระทบกับพรรคในวงกว้าง ต้องได้รับการประทับตราจาก ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก่อน
ฉะนั้น การออกมาปิดประตู ไม่จับมือกับ ‘เพื่อไทย’ และ ‘ก้าวไกล’ ของ ‘ไพบูลย์ นิติตะวัน’ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ย่อมต้องผ่านการสแกนมาแล้ว มิใช่กระทำโดยพละการ
โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐในเวอร์ชั่น ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’ จะไม่สุ่มสี่สุ่มห้า ‘ก้าวเข้าความขัดแย้ง’ มั่วซั่ว
พรรคพลังประชารัฐ ย่อมต้องหวังผลอะไรจากคำประกาศไม่ขอจับมือกับพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล
สำหรับ ‘ก้าวไกล’ ไม่แปลก เพราะพรรคสีส้ม ชัดเจนมาตลอดว่า ไม่ขอสังฆกรรมกับ ‘2 ลุง’ ทั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ
แต่กับ ‘เพื่อไทย’ คู่หมั้นทางการเมืองของพรรคพลังประชารัฐ ที่แบ่งรับแบ่งสู้กันมาตลอด กับกล้าประกาศถอนหมั้น
‘ไพบูลย์’ ให้เหตุผลว่า เป็นเรื่อง ‘นโยบาย’ ที่ไม่ตรงกัน น้ำหนักประเด็นนี้ดูโหวงเหวง ไม่เมคเซนต์
แต่ถ้าจับอาการ ‘ไพบูลย์’ และคนอื่นๆ ในพรรคพลังประชารัฐ ดูเหมือนพยายามจะสื่อเกี่ยวกับจุดยืนเรื่องมาตรา 112 ของพรรคเพื่อไทย
แต่ไม่น่าจะต้องถึงประกาศตัดเยื่อใยกันล่วงหน้า ในเมื่อวันนี้พรรคเพื่อไทยไม่เคยประกาศว่า จะสนับสนุนให้แก้ไขเหมือนกับพรรคก้าวไกลแต่อย่างใด
หรือเป็นเพราะอาการแทงกั๊กของพรรคเพื่อไทยนี่แหละ ที่พรรคพลังประชารัฐยืมมือสื่อยัดปากพรรคสีแดงว่า เอาอย่างไรแน่
หากไม่ใช่ ไม่เห็นด้วยกับแนวทางพรรคก้าวไกลให้ปฏิเสธมา แต่ถ้าเงียบถือว่า ยอมรับ
แต่ไม่ว่าคำตอบไหน พรรคเพื่อไทยเสียหาย อยู่แค่เสียหายมาก เสียหายน้อย
หากบอกว่า เห็นด้วยกับพรรคก้าวไกล จะพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่เสี่ยง เปิดทางให้อีกขั้วขยี้เรื่องประเด็นจงรักภักดี นำไปสู่การร้องเรียนต่างๆ
แต่หากบอกไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 112 คะแนนจากคนรุ่นใหม่ กลุ่ม 3 นิ้วจะไหลไปทางพรรคก้าวไกลอยู่มิใช่น้อย
ไม่ว่าทางไหน ยุทธการนี้เหมือนเตะตัดขาให้พรรคเพื่อไทยสูญเสียแนวรบในสนามเลือกตั้ง
แล้วพรรคพลังประชารัฐจะทำทำไมในเมื่อที่ผ่านมาญาติดีต่อกัน?
มองในบริบทการเมือง หากพรรคเพื่อไทยโตมาเท่าไหร่ กวาดเสียงในสนามเลือกตั้งมากเท่าไหร่ โดยเฉพาะถ้าแลนด์สไลด์สำเร็จ ‘ความสำคัญ-อำนาจต่อรอง’ ของพรรคพลังประชารัฐจะถูกลดหลั่นลงไปด้วย
จากของที่จำเป็นต้องมี จะกลายเป็นแค่ดอกไม้ที่จะถูกหยิบหรือไม่หยิบใส่แจกันก็ได้
พรรคพลังประชารัฐย่อมไม่ยินดีในสถานะแบบนั้น
หากมองในแง่ร้าย มันเป็นหนึ่งในกระบวนการสกัดแผนแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทย ด้วยการบีบให้พรรคสีแดงต้องพูดในเรื่องที่มีผลกระทบ