บิ๊กป้อม-ก้าวข้ามความขัดแย้ง คนกทม.ยังไม่อิน-เสี่ยงสูญพันธุ์!

การเดินหน้าชูสโลแกน “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยังคงเป็นแคมเปญหาเสียงหลักของพลังประชารัฐ ที่ถูกถอดความการเมืองว่า บิ๊กป้อมและพลังประชารัฐ พร้อมที่จะจับมือกับพรรคฝ่ายค้านในปัจจุบัน “เพื่อไทย” และ “ทักษิณ ชินวัตร”ในการจับมือกันตั้งรัฐบาล 

หลัง บิ๊กป้อม แสดงท่าทีระยะหลังผ่านการโพสต์ facebook ออกมาแล้วสองรอบ ที่พยายามสื่อให้เห็นว่าตัวเอง ให้ความสำคัญกับเรื่องของระบบประชาธิปไตย และมองว่า ที่ผ่านมา ฝ่ายอนุรักษ์นิยม-อำนาจนิยม รวมถึงกลุ่ม Elite หรือกลุ่มอีลิทในสังคมไทย ไม่สามารถเอาชนะฝ่ายประชาธิปไตยและครองใจประชาชนได้นาน  

ทั้งหมด ล้วนชี้ชัดไปในทำนองว่า บิ๊กป้อม เปลี่ยนไป ทั้งที่เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลคสช.และรัฐบาลปัจจุบันมาแปดปีกว่า แต่วันนี้กำลังแสดงท่าทีชัดว่า พร้อมจะจับมือกับเพื่อไทยและฝ่ายค้านได้ทุกเมื่อ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง 

อย่างไรก็ตาม เส้นทางการเมืองของบิ๊กป้อมและพลังประชารัฐ สุดท้ายแล้วหลังเลือกตั้ง จะเป็นพรรครัฐบาลหรือฝ่ายค้าน โดยเฉพาะการจัดตั้งรัฐบาลกับเพื่อไทย อย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันนั้น ก็อยู่ที่องค์ประกอบหลายอย่าง เช่น หากผลเลือกตั้งออกมา ถ้าฝ่ายเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง แล้วได้เสียงส.ส.เกิน 250 เสียงหรือแลนด์สไลด์ และถ้าสามารถรวมเสียงส.ส.พรรคฝ่ายค้านปัจจุบันเช่น ก้าวไกล -เสรีรวมไทย-ประชาชาติ รวมถึงไปดึงพรรคอื่นมาอีกเช่น ชาติไทยพัฒนา -ชาติพัฒนากล้า -ไทยสร้างไทย จนเกินระดับ 300 เสียง มันก็ทำให้ ทักษิณ และเพื่อไทย คงไม่จำเป็นต้องไปดึงพลังประชารัฐมาร่วมจัดตั้งรัฐบาล เพราะจะได้ไม่ต้องเสียคะแนนจากฝั่งคนที่เลือกเพื่อไทย ที่ไปจับมือกับพลังประชารัฐ ตั้งรัฐบาล

เพราะแม้ต่อให้ บิ๊กป้อม จะคุมเสียงส.ว.ในวุฒิสภาได้จำนวนหนึ่ง แต่หากฝ่ายเพื่อไทยตั้งรัฐบาลได้เกิน 300 เสียง มันก็ยากแล้วที่ ส.ว.จะตั้งด่าน สกัดเพื่อไทย ไม่ให้ตั้งรัฐบาลได้ เพราะคงฝืนกระแสประชาชนลำบาก จึงน่าจะมีส.ว.ระดับประมาณ 75 เสียง ที่พร้อมจะยอมโหวตให้ เพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล หากเพื่อไทยรวมเสียงตั้งรัฐบาลได้แตะระดับไป 300 เสียงแล้ว 

อย่างไรก็ตาม ก็ใช่ว่า บิ๊กป้อมและพลังประชารัฐ จะไม่มีโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาล เพราะก็ยังมีจังหวะให้ลุ้นอยู่ แม้แต่กับการเป็นรัฐบาลในขั้วพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน คือ พลังประชารัฐ ภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ ชาติไทยพัฒนา ประชาธิปัตย์

เพราะหากพรรคเหล่านี้ หลังเลือกตั้งรวมเสียงกันได้เกิน 250 เสียง มันก็ทำให้ บิ๊กป้อมและพลังประชารัฐ ก็ยังมีลุ้นเป็นรัฐบาลได้อยู่ ยิ่งทั้งบิ๊กตู่ พลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตร ก็มีฐานส.ว.อยู่ระดับเกิน150 เสียงอยู่แล้ว มันก็ยิ่งง่ายเลย ในการที่บิ๊กป้อมและพลังประชารัฐ จะได้เป็นรัฐบาลอีกรอบ หลังเลือกตั้ง ส่วนจะถึงขั้นที่ ลุงป้อมจะได้เป็นนายกฯหรือไม่ ประตูนี้ก็ไม่ปิดตาย แต่ก็อยู่ที่หลังเลือกตั้ง พลังประชารัฐจะได้ส.ส.กี่คน และทางพลเอกประยุทธ์กับอนุทิน ชาญวีรกูล จากภูมิใจไทยจะยอมเปิดทางให้หรือไม่ ?

ทั้งหมด จึงเป็นเรื่องที่ บิ๊กป้อมและพลังประชารัฐ ก็ต้องทำตัวเองให้ได้ส.ส.มากที่สุดหลังเลือกตั้ง จากนั้นค่อยไปลุ้นอีกทีว่าจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ แล้วก็ไปลุ้นอีกรอบว่า บิ๊กป้อมจะได้ลุ้นนายกฯหรือไม่ ?

และหนึ่งในพื้นที่เลือกตั้งที่พลังประชารัฐ ดูจะตั้งเป้าไว้พอสมควรว่าจะมีส.ส.เขต ในพื้นที่แห่งนี้ระดับหนึ่ง นั่นก็คือ “กรุงเทพมหานคร-เมืองหลวงประเทศไทย” ที่มีส.ส.มากถึง 33 เก้าอี้ 

เพราะแกนนำพรรคพปชร.ยังเชื่อว่า แม้วันนี้ พลังประชารัฐ จะไม่มี ลุงตู่ พลเอกประยุทธ์มาเป็นตัวเรียกคะแนน สร้างเรตติ้งแบบตอนเลือกตั้งปี 2562 ที่กระแสลุงตู่ทำให้ พลังประชารัฐเคยได้ส.ส.เขต กทม.ถึง 12 ที่นั่ง ได้เป็นแชมป์กทม.มาแบบหลายคนคาดไม่ถึง แต่เมื่อวันนี้ ลุงตู่ ไม่อยู่แล้ว แกนนำพรรคพลังประชารัฐโดยเฉพาะบิ๊กป้อม ก็ยังมั่นใจว่า แม้จะกระทบบ้าง โดยเฉพาะเมื่อส.ส.เขต กทม.พลังประชารัฐ ตบเท้าออกจากพรรคเกือบหมดเหลือแค่ “ศิริพงษ์ รัศมี -เขตหนองจอก” คนเดียวที่ยังอยู่ นอกนั้นออกไปอยู่ที่เพื่อไทย-ภูมิใจไทย-รวมไทยสร้างชาติกันหมด แต่พลังประชารัฐยังเชื่อว่า ก็ยังน่าจะมีส.ส.เขต กทม.หลังเลือกตั้งเข้ามาได้อยู่ แม้หลายคนจะปรามาสว่า เลือกตั้งปี 2562 ประชาธิปัตย์ อดีตแชมป์ส.ส.เขต กทม. สูญพันธุ์มาแล้ว แต่เลือกตั้ง 2566 ถึงคิว พลังประชารัฐ อดีตแชมป์ส.ส.เขตกทม.จะสูญพันธุ์ เป็นรายต่อไป!

จึงไม่แปลกที่ หลังคนเห็น อาจารย์แหม่ม นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค พปชร. ออกมาระบุว่า ตั้งเป้าจะได้ส.ส.เขต กทม. มากกว่าเดิม คือ 12 ที่นั่งขึ้นไป จะพยายามทำให้ได้มากกว่าเดิม  เพราะเชื่อมั่นผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรคมีของดีอยู่ในตัว   

เจอความมั่นใจของพลังประชารัฐและดร.นฤมล แบบนี้ เลยทำเอาหลายคน ตะลึงงัน ว่า อาจารย์แหม่ม นฤมล ไปเอาความมั่นใจดังกล่าวมาจากไหน ?

เพราะขนาด “สกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมเลือกตั้งกทม.ของพลังประชารัฐ อดีตรองผู้ว่าฯกทม.” ยังบอกก่อนหน้านี้ ว่า ตั้งเป้าไว้ที่ 6 เก้าอี้ เท่านั้น แต่ดร.แหม่ม เล่นบอกว่า ตั้งเป้าว่าจะได้ส.ส. เขตกทม. มากกว่าเดิม 12 เก้าอี้ เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับทีมเลือกตั้งกทม.ของพลังประชารัฐหรือไม่ ทำไม สองคีย์แมน กทม.ที่บิ๊กป้อม สั่งให้มาช่วยดูแลพื้นที่กทม.คือ สกลธี-นฤมล จึงมองสนามเลือกตั้งกทม.ในมุมของพลังประชารัฐ แตกต่างกันสิ้นเชิงแบบนี้  

เพราะหากดูจากสภาพตอนนี้ มันก็พอมองเห็นได้ว่า กระแสพลังประชารัฐในกทม. ในการเลือกตั้งรอบนี้ ตกลงจากปี 2562 อย่างเห็นได้ชัด ส่วนกระแส ลุงป้อม ที่เดินสายไปตามจุดต่างๆ ในกทม.เช่น ตลาดอตก. -สวนลุมพินี -เยาวราช มันก็เห็นชัดว่า เป็นการ “ปั่นกระแส” มากกว่า 

ที่สำคัญ ตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต ของพลังประชารัฐ ที่เปิดตัวเกือบครบหมดแล้วทั้ง 33 เขต ว่ากันตามเนื้อผ้า ยังเป็นรอง คู่แข่งขัน ทั้งในขั้วเดียวกันอย่าง รวมไทยสร้างชาติ-ประชาธิปัตย์ -ภูมิใจไทย หรือขั้วตรงข้าม เพื่อไทย กับก้าวไกล อย่างเห็นได้ชัด 

ขนาดบางเขต วัดกันแบบตัวต่อตัว เผลอๆยังสู้พรรคเล็กอย่าง ไทยภักดี -ชาติพัฒนากล้า ไม่ได้เลย เพราะผู้สมัครส.ส.เขต พลังประชารัฐหลายคน เป็นผู้สมัครโนเนม ไม่มีกระแสในวงกว้างและในพื้นที่ ไม่มีฐานคะแนนในพื้นที่มาก่อน เพียงแต่อาจจะได้แรงบวกอยู่บ้าง เช่น เรื่องนโยบายบัตรสวัสดิการประชารัฐหรือบัตรคนจน ที่จะให้ 700 บาทต่อเดือน หรือ “ป้อม 700” พบว่า นำไปใช้หาเสียงได้ง่าย คนเข้าใจง่าย ก็ทำให้มีกระแสระดับหนึ่ง แต่พอเจอ รวมไทยสร้างชาติ-พลเอกประยุทธ์ บวกเพิ่มให้เป็น 1,000 บาทต่อเดือน หรือบัตรลุงตู่หนึ่งพันบาท ก็ทำเอา พลังประชารัฐ ไปไม่เป็นเหมือนกัน ที่เจอลุงตู่ พลัสเพิ่มขึ้นมาอีก 300 บาท เป็น ลุงตู่ 1,000 บาท 

อย่างไรก็ตาม บิ๊กป้อม-พลังประชารัฐ ก็ยังมีเวลาในการที่จะทำให้เป้าหมาย ได้มากกว่า 12 ที่นั่งสำเร็จได้ เพราะของแบบนี้ ก็ไม่แน่ พลังประชารัฐ อาจลบคำปรามาสการเมืองที่ว่าพลังประชารัฐจะสูญพันธุ์ในพื้นที่กทม.ก็ได้ เพราะบางเขต อย่างของ ศิริพงษ์ รัศมี ที่หนองจอก ก็ถือว่า ฐานเสียงดีอยู่ ก็อาจตรึงพื้นที่ไว้ได้ ขณะเดียวกัน พลังประชารัฐ ก็ต้องมีไม้เด็ดในการหาเสียง มานำเสนอต่อคนกทม.ให้เลือกพลังประชารัฐ ที่ต้องฉีกและเด่นกว่าพรรคอื่น หลังเคยประสบความสำเร็จมาแล้วกับ “ป้อม 700” 

เบื้องต้น พลังประชารัฐ จะมีการเปิดปราศรัยใหญ่ใน กทม.วันที่ 17 มีนาคมนี้ ที่ลานคนเมือง กทม. โดยจะมีการเปิดตัว ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ทั้ง 33 เขตและนำเสนอนโยบายสำหรับ คนกทม. ที่พรรคจะเน้นเรื่องการแก้ปัญหา เศรษฐกิจปากท้อง  และหลังจากนั้น พลังประชารัฐ จะมีการจัดเวทีปราศรัยย่อย หลายจุดในกทม. เพื่อสร้างกระแสพรรคต่อไป 

ส่วนว่า คนกรุงเทพฯ จะอินกับ ลุงป้อม-ก้าวข้ามความขัดแย้ง จนเลือก ผู้สมัครส.ส.เขตกทม.ของพลังประชารัฐ หรือไม่ ก็ต้องรอดูกัน แต่ดูสภาพแล้ว ทีมงานเลือกตั้งกทม.พลังประชารัฐ คงเหนื่อยไม่น้อย ในการสร้างกระแสพรรคให้คนกทม.เลือก เพราะสถานการณ์ตกเป็นรองคู่แข่งทุกประตู!

แสดงความเห็น