“เศรษฐา” ทุบโต๊ะ เค้นทักษิณ-พท. ต้องนายกฯเท่านั้น 

ถึงตอนนี้ “เสี่ยนิด เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)” มีตำแหน่งการเมืองในพรรคเพื่อไทยแล้ว สองตำแหน่งอย่างเป็นทางการ โดยทั้งสองตำแหน่ง ถูกตั้งขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แบบรัวๆ ติดกัน ทั้ง “ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” และ “ที่ปรึกษาคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ” 

ตำแหน่งแรกก็คือ เป็นที่ปรึกษาให้กับ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ว่าที่แคนดิเดตนายกฯเพื่อไทย ส่วน ที่ปรึกษาคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ ที่ก็เหมือนกับเป็น “ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทย” มี  นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช​ แกนนำเพื่อไทย หนึ่งในนักการเมืองคนสนิทที่ทักษิณ ชินวัตร ไว้วางใจสูงมาก เป็นประธาน  

ทั้งหมดแสดงให้เห็นแล้วว่า ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ -แพทองธาร ชินวัตร คงได้มีการพูดคุยกับ เศรษฐา เรียบร้อยแล้วถึงการให้เข้ามามีบทบาทในพรรคเพื่อไทยมากขึ้นในช่วงกำลังเข้าสู่การเลือกตั้ง 

ยิ่งอุ๊งอิ๊ง ที่กำลังตั้งครรภ์ ใกล้คลอด เพราะตอนนี้ก็เข้าสู่เดือนที่เจ็ดย่างเดือนที่แปดแล้ว ทำให้จะให้ไปเดินสายหาเสียงต่างจังหวัดทั่วประเทศแบบก่อนหน้านี้คงไม่ไหว ต้องมีคนมาช่วยเป็นจุดศูนย์กลางในการหาเสียงเพื่อเรียกความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชน มากกว่าการมีแค่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย-สุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน  เพราะพวกนี้ หน้าช้ำแล้ว พูดอะไรไป ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจ จะปลุกเร้าเวทีปราศรัยอย่างไร ก็มีแค่ “เพื่อไทย-แลนด์สไลด์” ที่โหมมาครึ่งปีแล้ว

จนเห็นได้ชัดว่า ช่วงหลังเวทีปราศรัยใหญ่ของเพื่อไทยต่างจังหวัด ก็ไม่ค่อยเป็นที่พูดถึงมาก แม้ต่อให้มีอุ๊งอิ๊ง ไปเป็นตัวชูโรง แต่หลังจากนี้ ที่การหาเสียงจะเข้มข้นขึ้น แล้วเพื่อไทย จะไม่มี อุ๊งอิ๊ง มาเป็นตัวสีสันการเมืองเรียกความสนใจจากสื่อและประชาชน มันก็ย่อมไม่เป็นผลดีกับเพื่อไทย ดังนั้น การมีคนใหม่ๆ เข้ามาเติม เวที -การลงพื้นที่หาเสียง อย่าง เศรษฐา จึงเป็นเรื่องที่ฝ่ายทักษิณ-เพื่อไทย ต้องการอย่างมาก จนเป็นที่มาของการให้ บทบาท กับเศรษฐา มากขึ้นดังกล่าว 

รวมถึงบทบาทอื่นๆเช่น การชูภาพความเป็นนักธุรกิจ มือเศรษฐกิจ ของเพื่อไทย จนมีการจัดคิวให้เดินสาย ไปคุยกับ ณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานสมาคมไทยจีน และคณะ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านเศรษฐกิจ การค้า ไทย-จีนเมื่อวันศุกร์ที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีคิวงานแบบนี้อีกหลายงาน รวมถึงการขอให้ เศรษฐา ไปช่วยเดินสายหาเสียงลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครส.ส.เขต ของเพื่อไทยหาเสียงด้วย โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 

ทั้งหมดคือความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนแล้วว่า หลังจากนี้ เศรษฐา ทวีสิน จะเข้ามามีบทบาทในพรรคเพื่อไทยมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคอะไร เพราะแค่ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และที่ปรึกษาคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ ก็แสดงให้เห็นแล้วถึงการเป็น “สายตรงชินวัตร” 

อย่างไรก็ตาม ท่าทีล่าสุดของ เศรษฐา ที่ยืนกรานว่า ตำแหน่งทางการเมืองที่ต้องการเป็น มีแค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้น คือ “นายกรัฐมนตรี” ไม่ขอเป็นอย่างอื่น เช่นรองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ ผ่านคำให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน 

จุดนี้น่าติดตามว่า เป็นข้อตกลงร่วมกันมาก่อนของ เศรษฐากับทักษิณและเพื่อไทยหรือไม่ ?

หรือว่า เป็นการออกมาทิ้งไพ่ ของเศรษฐา แบบผิดคิว ผิดจังหวะ ของเศรษฐา เพื่อต้องการให้ทักษิณ แสดงความชัดเจนด้วยว่าช่วงเลือกตั้ง แม้เพื่อไทย จะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯสามชื่อ แต่เศรษฐา ก็ต้องการให้ เพื่อไทย บอกให้ชัดว่า  หากหลังเลือกตั้ง เพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล คนที่ทักษิณ กับเพื่อไทยจะดันเป็นนายกฯ ตัวจริง คือ ตัวเศรษฐา ไม่ใช่ อุ๊งอิ๊ง หรือแคนดิเดตนายกฯชื่อที่สาม 

เรื่องนี้คาดว่า เศรษฐา ที่ด้วยฐานะความร่ำรวยระดับหลายพันล้านบาท สิ่งที่คนในวัยที่กำลังจะอายุครบ 60 ปีในเดือนมีนาคม ต้องการคือการพาสชั้นการเมืองแบบรวดเร็ว ไม่ใช่ต้องมานั่งไต่เต้าทีละขั้น เพราะเมื่อจังหวะได้ โอกาสมาถึง เศรษฐา คงไม่อยากเสียเวลามานั่งเรียนรู้งาน ไปทีละขั้น เช่นจากรัฐมนตรีว่าการฯ -รองนายกฯ ไปก่อน เพราะเศรษฐา ที่เติบโตมาจากภาคธุรกิจ ที่เป็นระบบซึ่งวัดกันที่ผลงาน ความสำเร็จ ไม่ใช่อาวุโส เป็นหลัก ทำให้ตัวเศรษฐา ก็คงนำหลักคิดแบบธุรกิจมามองสถานะการเมืองของตัวเองว่า พร้อมแล้วที่จะลงมาเล่นการเมือง และเมื่อเล่นแล้ว ก็ไม่อยากเสียเวลาเนิ่นนาน ในเมื่อบริหารธุรกิจระดับพันล้าน หมื่นล้าน อย่างบริษัทแสนสิริฯ มาได้ ก็ถือว่าเป็นโปรไฟล์ที่จะทำให้ สามารถขึ้นเป็นนายกฯได้  หากเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลหลังเลือกตั้ง 

นี้คือมุมวิเคราะห์ ต่อสิ่งที่ เศรษฐา คิดและแสดงออกแบบตรงไปตรงมาดังกล่าว 

ที่ต้องยอมรับว่า ค่อนข้างผิดวิสัยที่คนพรรคเพื่อไทย จะทำแบบนี้ เพราะส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด มีนิสัยเหมือนกันหมด คือ เกรงอกเกรงใจทักษิณ ทำให้ เมื่อเศรษฐา บอกว่า งานการเมือง-ตำแหน่งในฝ่ายบริหาร มองไว้แค่ที่เก้าอี้นายกฯ ไม่มองตำแหน่งอื่น จึงเป็นเรื่องที่ทำให้ คนเพื่อไทย หลายคนคาดไม่ถึง ที่เสี่ยนิด เข้าพรรคได้แค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็ทิ้งไพ่-เล่นใหญ่ ทันที 

อย่างในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เมื่อถามย้ำว่า ถ้าไม่ใช่ตำแหน่งนายกฯ ก็ไม่เอา ใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ก็คือไม่เอา แต่ก็อาจจะไปให้คำแนะนำอยู่ข้างหลัง หรือยังเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยอยู่ต่อก็ได้ ผมก็ยังเป็นสมาชิกเพื่อไทยอยู่ ทำงานให้คำแนะนำด้านเศรษฐกิจ โดยไม่มีตำแหน่งก็ได้ ตรงนี้ก็สามารถทำได้” 

ในฐานะที่เราเป็นคนไทยคนหนึ่ง เราก็สามารถทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองได้เหมือนกัน ถ้าเกิดมีตำแหน่ง ถ้าต้องขับเคลื่อนอะไรจริงๆแล้ว ตำแหน่งนายกฯ เป็นตำแหน่งที่มีอำนาจ ก็สามารถทำได้จริง” เศรษฐาระบุ 

และเมื่อถูกถามว่า ถ้าไม่ได้ตำแหน่งนายกฯ แสดงว่าตำแหน่งอื่นๆอย่าง รองนายกฯด้านเศรษฐกิจก็ไม่เอาใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ไม่เอาครับ” 

และที่บอกว่า “ไม่มี เรารู้จักกันมานาน เรารู้ตัวตนของตัวเองมานาน เรื่องของการกดดันหรือ เรื่องของการอ้อมค้อมไม่มีแน่นอน ไม่ใช่เป็นนิสัยของผมอยู่แล้ว ซึ่งผู้ใหญ่ในพรรคก็รู้ดีว่า ผมเองเป็นคนอย่างไร ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่มีแน่นอน” เศรษฐาระบุหลังถูกสื่อถามว่า การที่บอกว่า จะต้องเลือกตัวเองเป็นนายกฯเท่านั้น จะเป็นการกดดันพรรคเพื่อไทยหรือไม่ 

น่าติดตามว่า ท่าทีดังกล่าว ของเศรษฐา ที่เอาบุคลิกแบบนักธุรกิจ ว่ากันตรงๆ ไม่อ้อมค้อม ทิ้งไพ่ดังกล่าวออกมาแบบนี้  

จึงต้องดูกันต่อหลังจากนี้ว่า ทักษิณ-พจมาน-ยิ่งลักษณ์-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ จะยอมหรือไม่ ที่จะให้ “คนนอกสายเลือดชินวัตร” มารอคั่วเป็นนายกฯ แทนที่จะดัน อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ขึ้นเป็นนายกฯ 

แต่แวดวงการเมือง ยังเชื่อว่า ยังไง “เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ” แกนนำเพื่อไทยสายตระกูล ชินวัตร น่าจะไม่ยอม เปิดทางให้ เศรษฐา มาเป็นนายกฯ ทั้งที่เพิ่งเปิดตัวเข้าพรรคก่อนเลือกตั้งไม่กี่เดือน สู้เอา อุ๊งอิ๊ง เป็นนายกฯไม่ดีกว่าหรือ จะไปให้เก้าอี้กับคนนอกทำไม 

ส่วนผลจะออกมาอย่างไร ตอนนี้คงประเมินยาก เพราะต้องรอให้เวลาผ่านไปสักระยะก่อน แต่เบื้องต้น การที่ เศรษฐา แสดงท่าทีแบบนี้ คงทำให้ ทักษิณ-เพื่อไทย ไม่น่าจะแฮปปี้แน่นอน 

แสดงความเห็น