กมธ.ดีอีเอส เล็งศึกษาสร้างดาวเทียมวงโคจรต่ำ พัฒนาต่อยอดสู่ธุรกิจอวกาศ 

กมธ.ดีอีเอส ถกรายงานอนุกิจการอวกาศ เล็งศึกษาสร้างดาวเทียมวงโคจรต่ำ พัฒนาต่อยอดสู่ธุรกิจอวกาศ ชี้มีประโยชน์หลายเรื่องทั้งระบบการสื่อสาร-การแพทย์-เตือนภัยพิบัติ เร่งทำสรุปส่งที่ประชุมสภา

น.ส.กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ส.ส.สระบุรี พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคมและดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า สัปดาห์นี้เรามีการประชุมกมธ. เพื่อพิจารณา รายงานการศึกษาวิจัย เรื่องการใช้ประโยชน์และกำกับดูแลดาวเทียมประเภทวงโคจรไม่ประจำที่ (NGSO) โดยคณะอนุกรรมาธิการกิจการอวกาศ เพื่อเศรษฐกิจและความมั่นคง ซึ่งจากการรับฟังรายงานถือว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์มากในหลายเรื่อง เช่น การสื่อสาร การเตือนภัยพิบัติ การสำรวจแผนที่ ซึ่งในประเทศที่เจริญแล้วมีการศึกษาและความสำคัญมาก หากเรายังไม่เริ่มต้นก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ตามเขาไม่ทัน เราต้องเร่งศึกษาและพัฒนาเพื่อให้เท่าทันโลก โดยจะมีการสรุปรายงานการศึกษาเพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาให้ทันภายในสมัยนี้

พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะรองประธาน กมธ.ดีอีเอส กล่าวว่า เรื่องการศึกษานี้เป็นเรื่องที่ดี เพราะอุตสาหกรรมดาวเทียมของโลกกำลังเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ การพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องประกอบกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมดาวเทียมจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และหากดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเท่าทันก็จะสามารถพลิกฟื้นสถานการณ์ของธุรกิจและเศรษฐกิจอวกาศให้ดียิ่งขึ้นได้ โดยเฉพาะภาคการให้บริการดาวเทียมที่มีแนวโน้มรายได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีหลายบริษัทที่พัฒนาและให้บริการดาวเทียมวงโคจรต่ำ เพราะประยุกต์ใช้ได้หลากหลายรูปแบบ จึงมีดาวเทียมที่ให้บริการประเภทนี้จำนวนมาก 

พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าวอีกว่า ในอดีตดาวเทียมสื่อสารจะถูกนำไปใช้เพื่อการให้บริการประเภทบรอดคาสต์ ได้แก่ การส่งสัญญาณภาพระหว่างประเทศหรือข้ามทวีป เช่น การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลผ่านดาวเทียม เป็นต้น แต่ในปัจจุบันการใช้งานดาวเทียมสื่อสารเพื่อรับส่งข้อมูลกำลังได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งนอกจากเทคโนโลยีจะตอบโจทย์ความต้องการการใช้งานแล้ว ต้นทุนในการพัฒนาก็เริ่มต่ำลงและเกิดการแข่งขันกันมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้งานร่วมกับคลื่นความถี่ย่าน Ka-band ที่มีช่วงความถี่สูงขึ้นนั้น ทำให้ดาวเทียมสามารถทำ Bandwidth ได้เพิ่มขึ้น และต้นทุนต่อความจุลดลงรวมทั้งมีคุณภาพของสัญญาณที่ดีขึ้นจนเกือบเทียบเคียงกับโครงข่ายภาคพื้นดินได้ นอกจากนี้การพัฒนาของเทคโนโลยีจรวดนำส่งที่สามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่ (Reusable Rocket)และการผลิตดาวเทียมขนาดเล็กที่มีต้นทุนต่ำลง ทำให้เกิดการสร้างโครงข่ายดาวเทียมประเภทNGSO ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น หรือ Satellite Constellation เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

ด้าน ดร.อัมรินทร์ พิมพ์หนู ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการกิจการอวกาศ เพื่อเศรษฐกิจและความมั่นคง กล่าวว่า อนุกมธ.เห็นว่า ควรมีการทดลองพัฒนาและสร้างดาวเทียม เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ว่าต้องใช้อะไรเพิ่มและจะพัฒนาต่ออย่างไร ซึ่งการเริ่มต้นพัฒนาดาวเทียมประเภท NGSO ในรูปแบบกลุ่มดาวเทียม LEO Constellation จึงมีความจำเป็นเร่งด่วน เนื่องจากหากเทคโนโลยีและธุรกิจทั่วโลกขยับไปใช้ดาวเทียมสื่อสารประเภท LEO Constellation จะทำให้ประเทศไทยพัฒนายากลำบากยิ่งขึ้นและต้องวิ่งตามเทคโนโลยีในต่างประเทศ รวมทั้ง จะมีค่าใช้จ่ายสูงเมื่อต้องใช้บริการดังกล่าวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำนักงาน กสทช. จะต้องมีนโยบายและการประกาศบังคับใช้ให้สิทธิวงโคจรต่ำประเภทนี้เพื่อการสื่อสารโทรคมนาคม 

ดร.อัมรินทร์ กล่าวอีกว่า หากประเทศไทยยังนิ่งเฉยจะทำให้ผู้ประกอบการไทยถูกเอารัดเอาเปรียบและเกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันต่อไปในอนาคต โดยประเทศชาติจะเป็นผู้เสียเปรียบ รายงานการศึกษาวิจัยการใช้ประโยชน์และการกำกับดูแลดาวเทียมประเภทไม่ประจำที่ NGรO ฉบับนี้ จึงเสนอให้เกิดโครงการนำร่องเพื่อเป็นการเริ่มต้นในการพัฒนากลุ่มดาวเทียม LEO Constellation เพื่อประโยชน์ด้านการแพทย์ทางไกลและการขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน อันนำมาซึ่งการช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ และยังเป็นการเรียนรู้ในเทคโนโลยีดาวเทียม LEO Constellation การพัฒนาบุคลากร การพัฒนางานฝีมือ และการสร้างงานสร้างอาชีพ และยกระดับประชาชนในประเทศได้ต่อไป

แสดงความเห็น