

คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช. ) จัดงานสัมมนา เรื่อง Open sky 2020: Opportunities and Challenges โอกาสและความท้าทายในกจิการดาวเทียมของไทย โดยมีนักธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดาวเทียม ได้แก่ บริษัทอีริคสัน (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท มิว สเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด, บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) รวมถึงภาคประชาชนที่สนใจเข้าร่วมฟังการสัมมนาอย่างคับคั่ง
โดย พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ รองเลขาธิการ กสทช. ให้สัมภาษณ์ก่อนการสัมมนา ด้วยว่าวันที่ 24 ธันวาคม กสทช. เตรียมพิจารณาร่างประกาศ กสทช. ที่เกี่ยวข้องกับกิจการดาวเทียม จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ ร่างประกาศ กสทช. เรื่อง แผนการบริหารสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม, ร่างประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม และ ร่าง ประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมต่างชาติในการให้บริการในประเทศไทย ซึ่งผ่านการรับฟังความเห็นของประชาชนและนำความเห็นปรับปรุงเนื้อหา ทั้งนี้หาก ที่ประชุม กสทช.พิจารณาและอนุมัติ รวมถึงส่งเนื้อหาประกาศในราชกิจจานุเบกษาจะสามารถบังคับใช้และเกิดการเปิดเสรีด้านดาวเทียมได้ อย่างไรก็ตามสัมปทานดาวเทียมที่ให้ไว้กับบริษัทไทยคม จะหมดสัญญาสัมปทาน อีก 2 ปี ดังนั้นเมื่อเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับกฎระเบียบแล้ว จะสามารถให้ให้ผู้ประกอบการรายใหม่ยื่นดำเนินการตามกฎหมายใหม่ได้ โดยจะได้รับสิทธิผู้ใดที่ยื่นเสนอก่อนจะได้รับพิจารณาการเข้าใช้วงโคจรก่อน ขณะที่ผู้ที่ให้บริการรายเดิมสามารถยื่นเสนอได้เช่นกัน
พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ กล่าวด้วยว่าสำหรับการเปิดให้สัมปทานวงโคจรดาวเทียม ที่กสทช.เป็นผู้รับผิดชอบนั้น ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล รวมถึงคำนึงถึงการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรม ซึ่งตนเชื่อว่าเมื่อกิจการดาวเทียมเสรีจะทำให้ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องเติบโตและภาครัฐได้รับประโยชน์สูงสุด
จากนั้นในเวทียังมีช่วงเสวนา เรื่อง ธุรกิจได้อะไร เปิดเสรีกิจการดาวเทียม โดยมีผู้เชี่ยวชาญและฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
โดย พ.อ.ดร. เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคภูมิใจไทย ฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ติดตามและตรวจสอบการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลและความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ใน กมธ.การสื่อสาร โทรคมนาคม และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่าการเปิดธุรกิจดาวเทียม คงไม่ใช่ต้องมองเฉพาะมิติความมั่นคงเท่านั้น แต่ต้องมองในความมั่นคงทางเศรษฐกิจด้วย เพราะยุคดิสรัปชั่นของเทคโนโลยีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทุกด้าน จากเดิมโดยดาวเทียมที่ใช้ปัจจุบัน จะใช้เฉพาะด้าน เช่น ส่งสัญญาณคลื่นโทรทัศน์, ดูสภาพอากาศ ทำให้ดาวเทียมไม่มีมูลค่าเพราะคนมักจะเลือกช่องทางอื่นๆ เช่น ดูเน็กฟลิกซ์แทนโทรทัศน์ เป็นต้น ทั้งนี้การพัฒนาการของดาวเทียมและเทคโนโลยีจำเป็นต้องตอบสนองการพัฒนาของเทคโนโลยีร่วมด้วย
“ดิสรับชั่นทางเทคโนโลยี ไม่ใช่แค่ คนไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่มีใครดูทีวี หรือ คนไม่เข้าใช้บริการธนาคาร แต่ผมมองว่าคือการเชื่อมโยงมนุษยชาติ และอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ ทุกอย่างเข้าด้วยกัน หากมีคำถามว่าการเปิดธุรกิจด้านดาวเทียม หรือ โอเพ่น สกาย ห่วง และกังวลว่าจะมีคนล้ำเขตอำนาจอธิปไตย แต่ตอนนี้มันอยู่บนหัวเราเต็มไปหมด ส่วนประเด็นของกองทัพต้องเข้าใจบทบาทของตนเอง ตามพ.ร.บ.ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ที่กองทัพต้องให้ความสำคัญ และ กฎหมายว่าด้วยกสทช. ไม่ใช่โยนให้กสทช. ไปทำทั้งหมด เพราะกสทช.เป็นหน่วยงานที่ทำตามกฎหมายกสทช.และภายใต้กฎหมายความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ กล่าว
ขณะที่ พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ กล่าวว่าหน้าที่ของ กสทช.กำกับกิจการสื่อสารเป็นหลัก แต่รัฐธรรมนุญและกฎหมายมอบหมายให้ กสทช. มีภารกิจดูแลด้านดาวเทียมดาวเทียมด้วย ดังนั้นตนมองว่าการเปิดตลาดธุรกิจดาวเทียม จะให้เกิดการแข่งขันได้อย่างเสรี เป็นธรรม เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งนี้เมื่อสัญญาสัมปทานบริษัทไทยคม หมดสัญญาอีก 2 ปี ต้องพิจารณาถึงโรดแม็พต่อการเข้าใช้วงโคจร สำหรับกิจการอวกาศ มีมติที่มากกว่าโทรคมนาคม คือ มิติบนอวกาศ และมิติภาคพื้นดิน ดังนั้นจะเปิดโอกาสไทยยิงดาวเทียมสัญชาติไทย บริษัทใหม่ที่จะเข้าแข่งขัน ทั้งไทยและต่างชาติ ต้องแข่งขันเพื่อเป็นตัวแทนประเทศไทยยิงดาวเทียมประเทศไทยเพื่อบริการประชาชน นอกจากนั้น กรณีที่มีดาวเทียมของต่างชาติที่อยู่ในวงโคจรและบริการภาคพื้นดินใหักับประเทศไทย แต่ไม่เคยได้รับอนุญาตเพราะติดสัมปทาน ดังนั้นในการแข่งขันต้องเปิดโอกาสให้บริษัทของไทยและบริษัทต่างชาติได้แข่งขัน โดยเสมอภาค เท่าเทียม
“รัฐบาลชุดที่ผ่านมาพยายามผลักดัน แต่ยังมีร่างกฎหมายว่าด้วยอวกาศที่ยังไม่ผ่าน ดังนั้นต้องอาศัย ส.ส.ช่วยผลักดัน ทั้งนี้การบริการระหว่างผู้ให้บริการ ต้องเน้นให้เกิดความเชื่อมโยง เพื่อประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด ขณะที่การดูแลผู้ประกอบการที่เท่าเทียมและเป็นธรรมกับทุกรายนั้นต้องใช้เวลาในการปรับ ขณะที่เทคโนโลยีบรอดแบรนด์อินเตอร์เน็ต ต้องการให้บริษัทคนไทย ทั้งแคท, ทีโอที เร่งพัฒนาเพื่อให้เกิดการแข่งขันสู้กับต่างชาาติได้” พล.อ.ท.ดร.ธนพันธ์ุ กล่าว
แสดงความเห็น
