เรื่องแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท มันสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ภายใน ‘ครม.เศรษฐา’ ที่มีอย่างหลวมๆ
จะเห็นว่า ตั้งแต่ถูกนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ คัดค้านอย่างหนัก กลัวว่า นโยบายนี้จะสร้างความเสียหายมากกว่าสร้างความคุ้มค่า มีเพียงแค่องคาพยพจาก ‘เพื่อไทย’ เท่านั้น ที่ช่วยกันออกมาตอบโต้
ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาล ไล่เรียงพรรค ตั้งแต่พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาชาติ และพรรคชาติพัฒนากล้า อยู่ในสภาวะ ‘เงียบเป็นเป่าสาก’
ต่างคนต่างทำตัวเป็น ‘ทองไม่รู้ร้อน’ ปล่อย ‘เพื่อไทย’ รับแรงเสียดทานแบบโดดเดี่ยวเอง
แต่ไม่แปลก ในเมื่อนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่น เป็นอภิมหาโปรเจกต์ของ ‘เพื่อไทย’ ที่ใช้ในการหาเสียง
หาก ‘เพื่อไทย’ ทำสำเร็จ ก็เป็น ‘เพื่อไทย’ ที่ได้คะแนนนิยม พรรคร่วมอื่นๆ ไม่ได้อะไรด้วย
ในขณะเดียวกัน หากเกิดความเสียหาย โดนดำเนินคดีก็เป็นเสนาบดีของ ‘เพื่อไทย’ เองที่ต้องรับความเสี่ยงนั้นไป
พูดง่ายๆ คือ พรรคร่วมไม่ขอเอี่ยว เพราะไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ไม่ว่าจะเป็นบวกหรือลบก็ตาม
ดังนั้น อยู่เฉยๆ ดีที่สุด จะเห็นว่า ทั้งรัฐมนตรี สส. และสมาชิกพรรคร่วม ต่าง ‘นิ่งเฉย’ กันทั้งสิ้น
บางพรรค แกนนำถึงขั้นกำชับ อย่าเที่ยวทำตัวเป็น ส.ใส่เกือก แต่ให้อยู่เฉยๆ เอาไว้ รับผิดชอบงานของตัวเองไป
อย่างว่า รัฐบาลนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับ ‘รัฐบาลเฉพาะกิจ’ ต้องหันมาฟิจเจอร์ริ่งกัน เพราะเกมสกัด ‘ก้าวไกล’
ต่างคนต่างต้องมีกันเพื่อเข้าสู่อำนาจ หมดอายุรัฐบาลก็แยกย้ายไปเลือกตั้ง ต้องเป็นคู่แข่งกันในสนาม
โดยเฉพาะ ‘เพื่อไทย’ กับ ‘ภูมิใจไทย’ ที่ได้กลายเป็นคู่ปรับกันในสมรภูมิ ‘อีสาน’ ดังผลการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
สถานการณ์ในรัฐบาลตอนนี้ เหมือนต่างคนต่างทำงาน พรรคใครพรรคมัน ปั้นผลงานเพื่อตัวเองทั้งนั้น
เทคไซด์กันแทบไม่ได้ กระทรวงใครกระทรวงมัน
พรรคไหนคุมเจ้ากระทรวง พรรคนั้นคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเป็นแค่ไม้ประดับ มีอำนาจแต่ใช้ไม่ได้ เพราะต้องผ่านเบอร์ 1 เท่านั้น
ไม่พอใจก็ได้แค่ฟาดงวงฟาดงา เพราะถือเป็นข้อตกลงที่ทำร่วมกันแล้วตอนดีลจัดตั้งรัฐบาล
ผู้ใหญ่ของสองพรรคแบ่งอาณาเขตกันเรียบร้อย โวยวายไปไม่ได้ประโยชน์ จึงต้องรับสภาพ ก้มหน้าก้มตาเสพสุขกับคำนำหน้า ‘รัฐมนตรี’ กันไป
จะว่าไปเทียบกับรัฐบาลชุดก่อน ถือว่าคล้ายๆ กัน แต่ดูความสัมพันธ์ในรัฐบาลเก่าจะมีปฏิสัมพันธ์และแนบแน่นกันมากกว่า
ไม่รู้ว่า เป็นเพราะพรรคร่วมรู้ว่า ตัว ‘ผู้นำ’ ไม่ได้เป็นตัวจริง เสียงจริง จึงไม่จำเป็นต้องมาพินอบพิเทาหรือไม่