ส่องสภาพภายใน “เพื่อไทย” มีฝุ่นตลบ-หวั่น “ก้าวไกล”ทำวืด 

ในความเชื่อมั่นของ “พรรคเพื่อไทย-ทักษิณ ชินวัตร” ว่าจะชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ ทำให้แม้จะมีคนในพรรคเพื่อไทย ทยอยลาออกไปบางส่วนในช่วงนี้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เพื่อไทยรู้สึกหวั่นไหวใดๆ 

ไม่ว่าจะเป็นกรณี ณัฐวุฒิ กองจันทร์ดี อดีตส.ส.หนองบัวลำภู ที่ย้ายไปไทยสร้างไทย รวมถึง เก่ง การุณ โหสกุล ที่ลาออกจากเพื่อไทย ไปอยู่กับไทยสร้างไทยเช่นกัน 

และหลังจากนี้ คาดว่า น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.ก็จะเป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังจะออกจากเพื่อไทยเพื่อไปอยู่กับพรรคไทยสร้างไทยเช่นกัน

เท่ากับว่าทั้งสามคน ย้ายไปอยู่กับ เจ๊หน่อย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ด้วยกันทั้งหมด และก่อนหน้านี้ก็มี วันชัย เจริญนนทสิทธิ์ อดีตส.ส.นนทบุรี ที่ลาออกไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย 

เหตุที่บอกว่า เพื่อไทย ไม่ได้หวั่นไหวอะไร เพราะเกือบทั้งหมด เป็นคนที่เพื่อไทยคาดไว้อยู่แล้วว่าจะไม่อยู่ จะออกจากพรรคไป โดยเฉพาะ “การุณกับอนุดิษฐ์” ที่เป็น “เด็กเจ๊หน่อย” และเพื่อไทยก็รู้มาตลอดว่า ที่ผ่านมาทั้งสองคน  ได้ไปร่วมประชุมทางการเมืองกับคุณหญิงสุดารัตน์ที่บ้านลาดปลาเค้า 60 มาเป็นปี จนเพื่อไทยหาคนเตรียมไว้ส่งลงแทนทั้งสองคนนานแล้ว  ส่วนบางคน ก็เป็นคนที่เพื่อไทย ก็เตรียมจะเปลี่ยนตัว ไม่ส่งลงเลือกตั้ง แต่จะดันขึ้นปาร์ตี้ลิสต์แทนเพราะหัวหน้าทีมในจังหวัด ต้องการเอาคนอื่นมาลง  ที่ก็คือการบีบกลายๆ มันก็เลยทำให้ ต้องตัดสินใจลาออกไปก่อน 

ดังนั้น ที่ลาออกไปและกำลังจะลาออกประมาณสี่คนข้างต้น จึงไม่ได้ทำให้ เพื่อไทย รู้สึกหนักใจอะไร เพราะยังเชื่อว่า หาคนมาลงแทนได้ และมีสิทธิ์ชนะด้วย 

ขณะเดียวกัน เพื่อไทย ก็ยังไปได้อดีตส.ส.จากพรรคอื่น เข้ามาเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น จิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ อดีตส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล หรือล่าสุด  น.ส.กานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ อดีตส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ อดีตภรรยา ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลฯ โดยทั้งสองคน เพื่อไทย ค่อนข้างมั่นใจว่าด้วยการที่ทั้งสองคนทำพื้นที่มาต่อเนื่อง ผนวกกับมาได้กระแส เพื่อไทยในกทม.ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ มันก็น่าจะทำให้ ทั้งสองคน เข้ามาทำให้ เพื่อไทย มีส.ส.กทม.เพิ่มขึ้นในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น 

ด้วยเหตุนี้ เมื่อบวก-ลบ กันทางการเมือง “ทักษิณ-เพื่อไทย”จึงยังเชื่ออยู่ว่า แลนด์สไดล์ ไม่ไกลเกินเอื้อม 

ส่วนเรื่องการจัดตัวคนลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ระบบเขต 400 คนทั่วประเทศ ข่าวในทางลึกและลับ พบว่า ตอนนี้ถือว่าลงตัวไปเกือบ 80 กว่าเปอร์เซนต์แล้ว ยังมีบางจังหวัดที่มีปัญหาไม่นิ่งอยู่บ้าง เช่น “กรุงเทพมหานคร” พบว่า จากที่จะมีเขตเลือกตั้ง 33 เขต ตอนนี้ มีตัวอยู่แล้วประมาณ 28 เขต เหลืออีกประมาณ 5 เขตที่ยังไม่นิ่ง อาจมีการเปลี่ยนตัวไปมาได้ตลอด 

ขณะเดียวกัน มีข่าวลือภายในพรรคเพื่อไทยว่า ใน 28 คน ที่พรรควางตัวไว้ให้ลงสมัครส.ส.เขต กทม. ก็เริ่มมีปัญหา เพราะบางเขต โพลพรรคพบว่า คะแนนไม่ดี เพราะคนที่จะส่งลง ไม่ค่อยมีคะแนนในพื้นที่ ไม่ค่อยทำพื้นที่ ทำให้มีโอกาสที่จะแพ้ได้ หรือบางคนก็มีข่าวว่า จากเดิมเคยจะขอลงเขต แต่พอลงพื้นที่แล้วเริ่มไม่ชอบ และรู้ตัวว่า กระแสไม่ดี คะแนนสู้คู่แข่งจากฝั่งเดียวกันอย่าง “ก้าวไกล” ยังไม่ได้ จนทำให้หลายเขตในกทม. เพื่อไทย อาจแพ้ก้าวไกล ไม่ใช่แพ้พรรคฝ่ายรัฐบาลเวลานี้  แล้วไหน ยังต้องสู้กับ คู่แข่งจากพรรคฝ่ายรัฐบาล ทั้งประชาธิปัตย์-รวมไทยสร้างชาติและภูมิใจไทย ทำให้เริ่มๆ มีกระแสข่าวว่า ผู้สมัครส.ส.เขตกทม. บางคน อาจกำลังเปลี่ยนใจ จะขอไปลงปาร์ตี้ลิสต์แทน แต่ก็มีปัญหาว่า ถ้าหันไปลงปาร์ตี้ลิสต์ ก็อาจอยู่ในอันดับไม่ปลอดภัย คืออยู่ในลำดับเกินชื่อที่ 30 ที่สุ่มเสี่ยง จะไม่ได้เป็นส.ส. ทำให้ สภาพภายในพรรคเพื่อไทย พื้นที่กทม.เอง ก็ไม่นิ่งเสียทีเดียว อาจมีการเปลี่ยนตัวในช่วงโค้งสุดท้ายก็ได้ 

ขณะเดียวกัน ก็ยังมีกระแสข่าวว่า ในเรื่องของการยกร่างนโยบายพรรคที่จะใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง ตอนนี้ผู้สมัครส.ส.เขต เพื่อไทย หลายสิบคน ที่ส่วนใหญ่เป็น “คนรุ่นใหม่” มองว่า พรรคน่าจะมีนโยบายในระดับ “ภาค” ขึ้นมาด้วย เช่น จะมีนโยบายการพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออกอย่าง ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ฉะเชิงเทรา อย่างไร ที่สามารถนำไปสู้กับ นโยบายที่ฝ่ายพลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ อาจจะนำไปหาเสียงเรื่องผลงานรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ในการพัฒนาโครงการอีอีซี หรือการสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อทำให้ คนในพื้นที่ภาคตะวันออก เลือกฝ่ายเพื่อไทย มากกว่าที่จะไปเลือกพรรคฝ่ายรัฐบาล 

หรือแม้แตกับ “กรุงเทพมหานคร” เอง ก็มีกระแสข่าวว่า มีว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต กทม.หลายคน เริ่มมองว่า จนถึงขณะนี้ ภาพรวมนโยบายที่เป็นภาพใหญ่ ของพรรคเพื่อไทยที่ใช้ในการหาเสียง น่าจะเป็นจุดขายสำคัญที่ผู้สมัครสามารถนำไปต่อยอดหาเสียงได้ เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน แต่สิ่งที่ผู้สมัครส.ส.เขต กทม.ต้องการเห็นมากกว่านั้น คือการมี “นโยบายเชิงพื้นที่” ในพื้นที่กทม.ที่จับต้อง หาเสียงได้ง่าย 

ข่าวบอกว่า ผู้สมัครส.ส.เขต กทม.ของเพื่อไทยหลายคน เห็นว่า ตรงนี้ ผู้ใหญ่ในพรรคยังไม่ค่อยให้ความสำคัญ ยังไม่มีการคิดอะไรออกมา ถ้าเทียบกับพรรคคู่แข่งอย่าง ภูมิใจไทย ที่ทำนโยบายกทม.ออกมาแล้ว 

จึงทำให้มีข่าวว่า หลังมีการเปิดตัวผู้สมัครส.ส.เขตกทม.ของเพื่อไทยครบ 33 เขตแล้ว บรรดาว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขตกทม.เพื่อไทยสายคนรุ่นใหม่ อาจมีการขอคุยกับแกนนำเพื่อไทยหรือนำเสนอแนวคิดขอให้ ผู้ใหญ่ในเพื่อไทย ต้องเร่งทำเรื่องนโยบายกทม. โดยเร็ว 

เพราะหลายคนมองว่า จากเดิมที่เพื่อไทย มองว่าสนามเลือกตั้ง กทม.เคยมั่นใจว่า พรรคจะสามารถเกาะกระแส “ชัชชาติฟีเวอร์” จนทำให้ เพื่อไทย ได้เป็นแชมป์ส.ส.เขตกทม.ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนั้น อย่างไรก็ตาม ผู้สมัครส.ส.เขต กทม.บางส่วนของเพื่อไทย มองว่า ถึงตอนนี้เริ่มคาดหวังกับเรื่องนี้ได้ยากแล้ว เพราะตอนนี้ กระแสชัชชาติกับเมื่อตอนเลือกตั้งเดือนพ.ค. 2565 กระแสไม่ได้แรงเหมือนตอนนั้น อีกทั้งคนกทม.โดยเฉพาะพื้นที่กทม.เขตชั้นใน ที่เคยคิดจะเลือกเพื่อไทยเพื่อให้สอดรับไปกับ ชัชชาติ ก็เริ่มไม่พอใจผลงานของชัชชาติแล้วที่ผ่านมาครึ่งปี ยังไม่เห็นผลงานอะไรที่เป็นรูปธรรม 

ข่าวบอกว่า มันเลยทำให้ ว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขตกทม.เพื่อไทย บางส่วน เริ่มมองว่า ถึงเวลาเลือกตั้งจริงๆ สิ่งที่คนในเพื่อไทยเคยคิดว่า จะยังมีควันหลง จากกระแสชัชชาติฟีเวอร์มาถึงการเลือกตั้งรอบนี้จนจะส่งผลดีต่อเพื่อไทยนั้น จริงๆ แล้วอาจไม่เป็นอย่างที่คิดก็ได้ เพราะคนกทม. จำนวนมาก ก็แยกการเมืองท้องถิ่นกับการเมืองระดับชาติออกจากกัน ทำให้ คนกทม.ที่เคยเลือกชัชชาติ สุดท้าย อาจไม่ได้มาเลือกเพื่อไทยอย่างที่ แกนนำเพื่อไทยหรือแม้แต่ทักษิณ ประเมินไว้แต่แรก จนทำให้ เป้าที่แกนนำเพื่อไทยเคยประเมินว่าในกทม. พรรคจะเป็นแชมป์กทม. โดยตั้งเป้าว่าจะได้ขั้นต่ำ 18-20 คนนั้น ผลอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ถ้ายังไม่ปรับวิธีคิดหลายเรื่องในพื้นที่เลือกตั้งกทม. 

นั่นคือภาพรวมๆ ของสถานการณ์ในเพื่อไทยล่าสุด ที่มีคนในพรรคสะท้อนออกมาให้ได้รับรู้ ที่ทำให้ได้เห็นว่า ในความฮึกเหิม มั่นใจว่า ชนะแลนด์สไลด์ หลังผลโพลหลายสำนัก ยืนยันต่อเนื่อง กระแสเพื่อไทย แรงต่อเนื่อง รวมถึงกระแสนิยมในตัว อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ที่ยังนำโด่ง ไม่เคยหลุดจากสามอันดับแรก มาหลายเดือนติดต่อกัน แต่ลึกๆ เพื่อไทย ก็มีร่องรอยความไม่ลงตัวในเรื่องการวางตัวผู้สมัครส.ส.เขต และการเขียนนโยบายที่จะนำมาใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งเช่นกัน 

ขณะที่เรื่อง “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” น่าจะชัดแล้วว่า ยังไง มีชื่อ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ค่อนข้างแน่ เพราะหากทักษิณ เพื่อไทย ไม่ส่งชื่อนี้ ทั้งที่ได้เสียงเชียร์จากแฟนคลับเพื่อไทยมาตลอด ผนวกกับโพลหลายสำนัก ที่บอกว่า อุ๊งอิ๊ง กระแสดี แล้วถ้า ทักษิณ-เพื่อไทยไม่ส่งลงแคนดิเดตฯ ก็คงทำให้ เสียคะแนนมากแน่นอน 

แต่ที่ยังไม่ชัดมากก็คือกรณีของชื่อที่สองและชื่อที่สามว่าจะเป็นใคร โดยเฉพาะกับกระแสข่าว “เสี่ยนิด เศรษฐา ทวีสิน บิ๊กวงการอสังหาริมทรัพย์จากบริษัทแสนสิริ” ที่หลายกระแสก่อนหน้านี้ บอกว่ามีชื่อติดแน่ หลัง เศรษฐา เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยนานแล้ว อีกทั้งมีข่าวว่า ได้เข้าไปร่วมหารือพูดคุยกับแกนนำพรรคในการช่วยให้ความเห็น เรื่องการทำนโยบายเศรษฐกิจ ที่จะใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง จนน่าจะทำให้ มีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ค่อนข้างแน่ 

ทว่าทั้งหมด มันก็ยังไม่ชัดว่า สุดท้ายแล้ว ทักษิณ จะเอาชื่อเศรษฐา ทวีสิน ใส่ไว้ในแคนดิเดตนายกฯจริงหรือไม่ แต่แน่นอนว่า ทักษิณ ต้องหาคนที่มีความอาวุโส มีประสบการณ์ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ มาคอยเป็นพี่เลี้ยง มาเติมเต็มในสิ่งที่ อุ๊งอิ๊งไม่มี คือประสบการณ์-เครดิตในการบริหารธุรกิจ ประสบการณ์การทำงาน เพราะอุ๊งอิ๊ง ก็ยังมีจุดอ่อนเรื่องนี้ แต่คนนั้นจะใช่ เศรษฐา ทวีสินหรือไม่ แกนนำเพื่อไทยหลายคน ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ แต่บางคนบอกว่า อาจจะมีก็ได้ แต่ถึงเวลาขึ้นมา หากเพื่อไทย ชนะเลือกตั้งแล้วตั้งรัฐบาลได้สำเร็จทักษิณ อาจไม่ดัน เศรษฐา ก็ได้ เพราะเมื่อออกเงินออกแรง จนทำให้ เพื่อไทยชนะเลือกตั้ง และตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ เรื่องอะไร ที่ ทักษิณ จะให้คนอื่นมาเป็นนายกฯแทนลูกสาวตัวเอง 

อีกทั้ง ทักษิณ ก็มีบทเรียนมาแล้ว กรณีเอาคนนอกครอบครัว อย่าง “สมัคร สุนทรเวช” มาเป็นนายกฯ เพราะถึงเวลา ได้เป็นนายกฯขึ้นมา เศรษฐา อาจขอเป็นอิสระจากทักษิณและเพื่อไทย จนคุมไม่ได้ ซึ่ง ทักษิณ คงไม่อยากเสี่ยง เพราะในเมื่อเปิดหน้าลุยขนาดนี้ แล้วประชาชนเอาด้วย จนเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง มันก็สมเหตุสมผล จะดัน อุ๊งอิ๊ง เป็นนายกฯ เพื่อสร้างประวัติศาสตร์การเมือง นายกฯที่อายุน้อยที่สุดและเป็นนายกฯหญิงจากตระกูล “ชินวัตร” คนที่สอง
ทำให้ ถึงตอนนี้ มกราคม 2566 ก่อนที่จะเข้าสู่การเลือกตั้งเต็มตัว เชื่อว่า ทักษิณ พร้อมเสี่ยง ดันอุ๊งอิ๊ง แน่ แต่ถ้าหลังจากนี้ สถานการณ์เปลี่ยน จนทักษิณ เปลี่ยนแผน จะนำข้อมูลมาบอกเล่าต่อไป 

แสดงความเห็น