นายกฯ แจงยิบ งบเพื่อวัคซีน ยันมีงบดูแลโควิด ไม่เฉพาะใน สธ. ย้ำ กองทัพ จัดซื้ออาวุธเพราะจำเป็น

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว. กลาโหม ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาฯ ระหว่างพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท วาระแรก ต่อเนื่องเป็นวันที่สอง ถึงการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการตั้งงบประมาณของกองทัพที่สูงกว่างบประมาณด้านสังคม ว่า การตั้งงบประมาณรวมถึงการปรับลดทำให้สอดคล้องกับวิถีปฏิบัติการใหม่ โดยในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ที่ลดงบประมาณนั้น เป็นส่วนของการฝึกอบรม สัมมนา การประชุม ที่ใช้การประชุมผ่านออนไลน์ งบประชาสัมพันธ์ รวมถึงเบี้ยเลี้ยงที่พักโดยยืนยันว่าการปรับลดงบประมาณไม่กระทบการบริการประชาชน  อย่างไรก็ดีในส่วนของงบประมาณเพื่อใช้ซื้อวัคซีนโควิด-19 มาจากหลายแหล่ง ไม่ใช่งบของกระทรวงเท่านั้น โดยที่ผ่านมารัฐบาลอนุมัติงบกลาง และเงินกู้ รวม กว่า 2.1 หมื่นล้านบาท เพื่อดำเนินการ

พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงด้วยว่าสำหรับค่าใช้จ่ายวัคซีน ตั้งแต่ปี 2563 – 2564 ใช้งบประมาณรวม 21,134 ล้านบาท โดยเป็นงบกลาง 11,346 ล้านบาท และเงินกู้จำนวน  9,788 ล้านบาท  แบ่งเป็นให้หน่วยงานต่างๆ เพื่อวิจัยและพัฒนาในประเทศ รวม 2,260 ล้านบาท , ทำความร่วมมือวิจัยกับต่างประเทศ รวม 600 ล้านบาท ทั้งนี้การจัดหาซื้อวัคซีนเพื่อใช้ในประเทศ โดยวัคซีนยี่ห้อซิโนแวค 8.1 ล้านโดส ใช้งบ 5,069 ล้านบาท , วัคซีนแอสตราเซเนก้า จำนวน 26 ล้านโดส ใช้งบกลางปี 64 จำนวน 5,287 ล้านบาท และ จำนวน 35 ล้านโดส จำนวน 6,378 ล้านบาท ส่วนยของเงินกู้ปี 2564  นอกจากนั้นยังมีค่าฉีดวัคซีน จำนวน 1,520 ล้านบาท จากเงินกู้ปี 2564 และ ค่ารักษาอาการไม่พึงประสงค์ จำนวน 30 ล้านบาท จากส่วนของเงินกู้ 

“การสนับสนุนงบประมาณกับการแก้ปัญหาโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งสิ้น 1.1 แสนล้านบาท   อย่างไรก็ดีรัฐบาลได้วางแผนไว้ล่วงหน้าเพื่อรับกับความไม่แน่นอน ผ่านการออก พ.ร.ก.กู้เงิน เพื่อใช้ในส่วนที่จำเป็น และไม่ใช่กู้ทั้งก้อน  อย่างไรก็ดีการกู้เงินนั้นเร็วกว่า และทันต่อสถานการณ์มากกว่า งบปี 2565 ที่จะมีผลบังคับใช้ เดือนตุลาคม 2564  สำหรับการจัดทำงบประมาณปี 2565 ได้คำนึงถึงข้อจำกัดต่างๆ และทำให้สอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ ที่เน้นการพัฒนาแผนแม่บทเฉพาะกิจ” พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจง

นายกรัฐมนตรี ย้ำด้วยว่าสำหรับการใช้งบกลางนั้น ยืนยันว่าไม่สามารถใช้ได้อิสระเพราะต้องตรวจสอบ ซึ่งตนพร้อมรับการตรวจสอบจากองค์กรต่างๆ หากมีปัญหาต้องนำไปสู่ศาล และตนพร้อมยอมรับกติกา  ขณะที่งบของกระทรวงกลาโหมนั้น ยืนยันว่าปรับลดอย่างต่อเนื่อง ตามเหตุผลและความจำเป็น รวมถึงเตรียมพิจารณาปรับจำนวนของบุคลากรกองทัพด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงด้วยว่า สำหรับงบประมาณด้านสวัสดิการประชาชน นั้นยืนยันว่าไม่ปรับลด และยังสนับสนุนตามจำนวนประชากรที่ปรับเพิ่ม เช่นเดียวกับงบประมาณด้านการศึกษา แต่งบประมาณที่ลดลง เพราะมีจำนวนนักเรียนที่ลดลง กว่า 6 หมื่นคน อีกทั้ง กองทุนเสมอภาคทางการศึกษา จัดเงินช่วยเหลือเด็กให้ยากจน  5,000 ล้านบาท  ขณะที่การจัดสวัสดิการให้ประชาชน ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้สนับสนุนประชาชนกว่า 14.6 ล้านคน รวมเป็นงบประมาณ 3  หมื่นล้านบาท  เป็นต้น 

“ปัญหาที่เกิดขึ้น ผมไม่อยากให้ใครเสียชีวิต ผมรักประชาชน ผมนั่งรถมองกระจก ให้คนที่อยู่ข้างๆ ผมคิดว่าต้องการให้เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี โดยไม่หวังผลประโยชน์จากเขา ซึ่งในจังหวัด กลุ่มจังหวัดใดต้องการ ผมพร้อมอนุมัติงบกลางให้ เพราะผมไม่เคยเกลียดท่าน ไม่เคยเกลียดประชาชน แม้ว่าท่านจะเกลียดผมก็ตาม อย่างไรก็ดีการตัดงบทุกกระทรวงเพื่อโควิด-19 อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ ดังนั้นอย่าพูดให้สับสน สำหรับการประกาศที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ต้องเป็นศบค. หากใครพูดนอกจากนี้ไม่ถูกต้องทั้งสิ้น”  พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจง

นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ชี้แจงต่อการจัดซื้ออาวุธของกองทัพด้วยว่า ตนไม่ต้องการให้มีทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง แต่การจัดซื้อต่างคนต่างมีเหตุผล แต่สำคัญต้องประเมินภัยคุกคามว่าเกิดที่ไหนบ้าง  ประเทศเพื่อนบ้านสู้รบหรือไม่ ทั้งนี้ตนยืนยันว่าการจัดหาอาวุธเพื่อมีไว้ไม่ต้องรบ ไม่ใช่มีไว้เพื่อรบ ยืนยันว่าการจัดซื้อมีเหตุผล ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตัว เพราะตนเป็นนายทหารเก่า แต่ตนต้องการให้ประเทศและประชาชนปลอดภัย โดยการจัดซื้อมีเพียง 1 ใน3 

พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงต่อสภาพทางเศรษฐกิจ สถาบันจัดอันดับของต่างประเทศ ประเมินว่าไทยมีระดับความน่าเชื่อถือในเกณฑ์ดี และสถานการคลังของไทยเข้มแข็ง สำหรับก่อนหน้านี้ที่กู้เงิน โดยปี 2557 – 2564 ได้ชำระคืนเงินกู้แล้ว  2.53 ล้านล้านบาท  นอกจากนี้ในปี 2559 – 2564 มีการลงทุนพื้นฐานกว่า 2.1 ล้านล้านบาท ใน 162 โครงการ โดย 70% ของการกู้เงิน นั้นเพื่อการลงทุน  ทั้งนี้ที่ผ่านมาบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไป หากระบุว่า 7 ปีไม่มีอะไรดีขึ้น ตนน้อยใจเหมือนกัน อย่างไรก็ดีสำหรับโครงการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว หากไม่ดีต้องยกเลิก และทำใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์

“การจัดทำงบประมาณ และอนุมัติ ทำโดยฝ่ายบริหาร ส่วนการพิจารณาคือ ฝ่ายนิติบัญญัติ หากพิจารณาปรับลดต้องกลับมาให้ฝ่ายบริหาร ทั้งนี้ไม่มีการใช้เพื่อประโยชน์อื่น ซึ่งหากท่านรักประเทศ รักประชาชน ขอให้ช่วยผม มีปัญหาขอให้แจ้งหน่วยงาน และแจ้งรัฐบาลเพื่อแก้ไข ที่ผ่านมามีเรื่องร้องเรียนที่สำนักนายกรัฐมนตรี กว่าล้านเรื่อง แต่แก้ไขไปแล้ว  90%  โดยใช้งบกลางแก้ไขให้ ทั้งนี้ขอบคุณส.ส.ฝ่ายรัฐบาลที่เสนอแนะสิ่งที่เป็นประโยชน์ มีที่ถูกบ้าง และไม่ถูกบ้าง แต่ผมไม่ได้โกรธ” พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจง

แสดงความเห็น