สภา อนุมัติ พ.ร.ก.แก้กฎหมายคุมสารต้องห้ามทางการกีฬา

สภา อนุมัติ พ.ร.ก.แก้กฎหมายคุมสารต้องห้าม “ฝ่ายค้าน” รุมซัก ปมวาดา เลิกแบนไทย ท้า “พิพัฒน์-ก้องศักดิ์” ใช้ตำแหน่งการันตี

ที่ประชุมสภาฯ ได้อนุมัติพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา พ.ศ.2555  พ.ศ.2564 ด้วยเสียงข้างมาก 230 เสียง ไม่เห็นด้วย 118 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง  หลังจากที่ใช้เวลาอภิปรายซักถาม นานกว่า 2 ชั่วโมง 30 นาที

โดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ชี้แจงต่อที่ประชุมว่า พ.ร.ก.ฉบับดังกล่าว ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 30 ธันวาคม 2564 หลังจากที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติเมื่อ 28 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้มีความจำเป็นต้องออกพ.ร.ก. เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ที่เกิดจากรายได้จากการจัดการแข่งขันกีฬาในระดับชาติ และนานาชาติ ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ และส่งนักกีฬาไทยเข้าแข่งขัน รวมถึงจะกระทบประเทศไทยที่ไม่สามารถเสนอตัวจัดการแข่งขันกีฬาระดับชาติและระดับนานาชาติ ที่มีผลตอบแทนให้กับเศรษฐกิจของประเทศได้ 

“ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์เมื่อปี 2564 ว่า หากปี 2565 มีการจัดแข่งขันกีฬา มูลค่าที่จะเกิดขึ้นมีมากกว่า 3.9 หมื่นล้านบาท และมีมูลค่าจากการประชาสัมพันธ์ ผ่านการถ่ายทอดสด กว่า 1.5 หมื่นล้านบาท และไม่นับรวมรายได้จากการท่องเที่ยวจากผู้ที่เดินทางเข้าประเทศเมื่อมีการจัดแข่งขันกีฬานานาชาติในประเทศไทย สำหรับการจำกัดสิทธิส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันในระดับนานาชาติ จะกระทบต่อชื่อเสียง และความภาคภูมิใจของคนไทย ดังนั้นจึงเป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้” นายพิพัฒน์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับการอภิปรายของส.ส.  ส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนต่อการเห็นชอบพ.ร.ก.ฉบับดังกล่าว แต่พบการท้วงติงการทำงานของรัฐบาล ต่อการแก้ปัญหาที่ประเทศไทย ถูกองค์กรอิสระเพื่อต่อต้านการใช้สารต้องห้ามทางกีฬา (วาดา) ที่ล่าช้า 

ทั้งนี้ในส่วนการอภิปราย ของส.ส. พรรคเพื่อไทย อาทิ นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมรับผิดชอบด้วยการลาออก พร้อมประกาศว่าจะไม่เห็นชอบด้วยกับ พ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะผิดรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่ใช่เรื่องจำเป็นเร่งด่วน และขอให้ถอนเนื้อหากลับไปทำเป็นร่างพ.ร.บ. โดยฝ่ายค้านพร้อมให้ความร่วมมือพิจารณาด้วยกมธ.เต็มสภาฯ ผ่าน 3 วาระรวด

โดยนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย อภิปรายเรียกร้องให้มีผู้รับผิดชอบต่อกรณีที่วาดาแบนประเทศไทย และพบความเสียหาย อีกทั้งการแก้ไขพ.ร.บ.สารต้องห้าม ตามพ.ร.ก.ที่รัฐบาลเสนอนั้น ตนมองว่ามีความย้อนแย้งและไม่รอบคอบ อาทิ  ระยะเวลาการตรวจหาสารต้องห้าม ที่พ.ร.ก. กำหนดใหห้ทำในระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก แต่กำหนดบทยกเว้นให้ตรวจสารตอนกลางคืนได้ หากมีเหตุอันควรสงสัยว่านักกีฬาใช้สารต้องห้าม และหากปล่อยเนิ่นช้าจะกระทบต่อกระบวนการตรวจสอบ ทั้งนี้ในรายละเอียดไม่พบว่ามีการพิจารณาถึงอำนาจอธิปไตย ตามที่นายพิพัฒน์เคยตอบกระทู้ถามสดในสภา

นายจิรายุ กล่าวด้วยว่า ส่วนบทลงโทษผู้ที่ใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา ที่กำหนดเพียงการตัดสิทธิการแข่งขันหรือริบเหรียญรางวัล ตนมองว่าไม่เพียงพอ และกรณีให้อำนาจผู้ว่าการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ที่ไม่มาจากการเลือกตั้ง ควบคุมกำกับองค์กรอิสระคุมใช้สารต้องห้ามในประเทศไทย อาจเป็นเหตุให้วาดาไม่ปลดล็อกการแบนประเทศไทย เนื่องจากการใช้สารกระตุ้นเพื่อหวังผลชนะในการแข่งขัน ควรมีโทษทางอาญาและทางแพ่งร่วมด้วย เพราะเกี่ยวเนื่องกับเงิน เบี้ยเลี้ยง และรถหรูที่จะตามมา ทั้งนี้ตนยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวต้องมีผู้รับผิดชอบ

ในช่วงท้ายนายก้องศักดิ์ ยอดมณี ผู้ว่ากกท. ชี้แจงยืนยันว่าการแก้ไขกฎหมายสารต้องห้ามได้ประสานกับวาดา และสอดคล้องกับกฎบัตรของวาดา และไม่เป็นปัญหาการต่อปลดล็อกประเทศไทย ขณะที่การแก้ไขเรื่องระยะเวลาตรวจสารกระตุ้นนั้น ที่ห้ามตรวจยามวิกาลนั้น วาดาได้เห็นปัญหาและเตรียมจะแก้ไขเช่นกัน

“หลังจากที่มีกฎหมายใช้บังคับเมื่อ 31 ธันวาคม 2564 และได้ทำเรื่องแปลไปยังฝ่ายกฎหมายของวาดา เมื่อ 7 มกราคม 2565 และเมื่อวันที่ 10 มกราคม วาดาตอบกลับมาว่า สิ่งที่ดำเนินการไป ยอมรับว่าแก้ไขถูกต้องครบถ้วน เมื่อออกพ.ร.ก.แล้ว  วาดายืนยันว่าจะปลดล็อกกลุ่มประเทศที่ไม่ปฏิบัติตามกฎของวาดา ในประเด็นการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันกีฬาทันที ส่วนการใช้ธงชาติไทยในการแข่งขันกีฬาหรือมอบเหรียญรางวัลนั้น ที่จะปลดล็อกในการแข่งขันกีฬาครั้งถัดไปนั้น กกท. มองว่าได้พ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว จึงต้องปลดล็อกเรื่องดังกล่าวทันทีเช่นกัน” นายก้องศักดิ์ กล่าว

อย่างไรก็ดีส.ส.ฝ่ายค้านยังติดใจ ในประเด็นที่วาดาสัญญาว่าจะปลดล็อกการลงโทษประเทศไทย พร้อมขอให้รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา และ ผู้ว่ากกท. ใช้ตำแหน่งเดิมพัน หากวาดาไม่ปลดล็อกให้หลังสภาฯ อนุมัติ พ.ร.ก. ขอให้ลาออกจากตำแหน่งทันที

ทั้งนี้ นายพิพัฒน์ ชี้แจงด้วยว่า ตนไม่มั่นใจว่าวาดาจะปลดล็อกให้ไทยได้กี่ระดับ แต่ในวันที่ 14 – 15 มีนาคม ตน และผู้ว่ากกท. ตอบรับที่จะเข้าร่วมการประชุมกับวาดา ที่ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ดังนั้นหากวันที่  2 กุมภาพันธ์ วาดายังไม่ปลดล็อก ต้องหารือว่า จะปลดล็อกในกี่ระดับหรือทั้งหมดได้เมื่อใดในการประชุมดังกล่าว

“ในยุคเวลาทำงานของผมจากนี้ต่อไปจะแก้ปัญหาให้จบและไม่มีเรื่องใหม่เกิดขึ้น หากมีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หากผมยังอยู่ในตำแหน่ง เช่น ในกรณีชักธงชาติขึ้นสู่เสาอีก ผมต้องไตร่ตรองว่าควรทำอย่างไรบ้าง ผมบอกได้ว่ามีสปิริตพอ ต่อการรับผิดชอบในงานบริหารในหน้าที่ของกระทรวงรวมถึงรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในกำกับ” นายพิพัฒน์ กล่าว

แสดงความเห็น