ดอน แจงยาว เดินทางไปเมียนมาร์ เพื่อประโยชน์ มอบของชี้ ข่าวมอบวัคซีน คือ เฟกนิวส์

นายดอน ปรมัติวินัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การต่างประเทศ ชี้แจงต่อสภาฯ ช่วงกระทู้ถามสดต่อประเด็นการเดินทางเยือนประเทศเมียนมาร์ เมื่อ 14 พฤศจิกายน  ซึ่งตั้งถามโดยนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย และตั้งข้อสังเกตว่า กรณีที่ตัวแทนรัฐบาลไทยเดินทางและเข้าพบผู้นำรัฐบาลทหารของประเทศเมียนมาร์ นั้นสร้างผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นการเยือนแบบลับๆ ล่อๆ ที่ถูกมองว่าทำไปเพื่อรับรองรัฐบาลทหารเมียนมาร์และการเจรจาผลประโยชน์

โดยนายดอน ชี้แจงยืนยันว่าการเดินทางไปประเทศเมียนมาร์ดังกล่าวไม่ได้ทำแบบลับๆ ล่อๆ แต่ไม่จำเป็นต้องโพนทะนา เพราะกระทรวงการต่างประเทศไม่ใช่หน่วยงานที่หิวแสง อีกทั้งการเดินทางไปประเทศเมียนมาร์ของตนนั้น เนื่องจากเคยทำงานในโต๊ะเมียนมาร์ กระทรวงการต่างประเทศ นานถึง 40 ปี จึงทราบพัฒนาการต่างๆ นอกจากนั้นเป็นการเข้ามอบสิ่งของ เวชภัณฑ์ ที่ได้รับบริจาคจากภาคเอกชน รวม 17 องค์กร ทั้งเป็นองค์กรต่างชาติ เช่น ยูนิเซฟ, ดับบลิวเอชโอ, องค์กรการกุศลคริสเตียน รวมถึงมูลนิธิของไทย เช่น มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง เป็นต้น  ให้กับกาชาดสากลที่ทำงาน ซึ่งไทยมีเส้นทางพิเศษ คือ ศูนย์ช่วยเหลือทางไกลด้านโลจิสติกส์ฉุกเฉิน หรือ เดลซ่า โดยมีของบริจาครวม 17 ตัน แต่รอบแรกขนไปได้เพียง 15 ตัน ดังนั้นส่วนที่เหลือจะขนส่งตามไปอีกครั้ง นอกจากนั้นในการหารือหน่วยงานดังกล่าว มีประเด็นเดียวคือ การช่วยเหลือเมียนมาร์

“ผมไปฐานะเพื่อนบ้าน ตามหลักสิทธิมนุษยธรรม และเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ อีกทั้งประเทศเมียนมาร์เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสำคัญด้านยุทธศาสตร์ เพราะมีชายแดนติดต่อไทยกว่า 2.4 พันกิโลเมตร ทั้งนี้ประเทศไทยได้รับคำร้องขอจากกลุ่มประเทศอาเซียน  และการเรียกร้องจากนานาประเทศ หลังจากที่เดินทางไปประชุมที่สหรัฐอเมริกา ให้เข้าช่วยดูแล ดังนั้นเป็นการไปด้วยความจำเป็น และตกลงว่าไม่ให้มีข่าว แต่เมื่อมีข่าวจากฝั่งเมียนมาร์ จึงต้องชี้แจง”  นายดอน ชี้แจง

นายดอน ชี้แจงด้วยว่า ส่วนกรณีที่มีข่าวระบุว่า มีการบริจาควัคซีนของไทยที่ได้รับบริจาค นั้น คือ ข่าวปล่อย ข้อเท็จจริงไม่มีสิ่งของจากรัฐบาล มีแค่ของบริจาคจากภาคเอกชน และเรื่องวัคซีนไม่ได้ แม้จะรับหรือจะให้ ต้องมีกระบวนการ เช่น ทำเอ็มโอยู ระะหว่างเจ้าของวัคซีนด้วย ซึ่งเป็นกติกาสากล อีกทั้งการให้หรือรับต้องผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วย

“สิ่งเหล่านี้เป็นกฎทั่วไป ที่นั่งเทียน หรือบอกข่าวชาวบ้าน ให้ข้อคิดเห็น เป็นข้อมูลที่ผิดพลาด คือ เฟกนิวส์ ซึ่งเกิดขึ้นทุกวันในบ้านเรา สำหรับนักเล่าข่าว สื่อหรือใครก็ตามในแวดวง เมื่อได้ยินก็ขยายความออกไปในเชิงบิดเบือน ถึงขึ้นเป็นเฟกนิวส์ ผมยืนยันว่าไม่ได้ไปแบบลับๆ ล่อๆ แต่การทำงานของกระทรวงการต่างประเทศไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศ การทำงานหวังความสำเร็จ เป็นประโยชน์กับประเทศ และประชาชนไม่ว่าฝ่ายใด ทำด้วยความรอบคอบ ไม่ต้องการแสง”  นายดอน ชี้แจง

ทั้งนี้นายสุทิน ยังตั้งข้อสังเกตต่อการเดินทางเยือนประเทศเมียนมาร์ เพราะต้องการรับรองสถานะของรัฐบาลทหารของเมียนมาร์ ซึ่งเป็นท่าทีที่นานาชาติไม่ยอมรับ โดยนายดอน ชี้แจงว่า การเมืองระหว่างประเทศไม่มีอะไรที่แน่นอน (Absolute) ความพยายามที่สร้างสรรค์ สามารถทำคู่ขนานกับความขัดแย้งได้ เหมือนเคยมีคำกล่าวว่า ไฟท์ ไฟท์ ทอล์ก ทอล์ก คือ พยายามคุยกันตลอดเวลา ด้านการต่างประเทศ นั้น ตนยอมรับว่ามีผู้แทนพิเศษเอ็นเอสจี ขอให้ไทยเป็นตัวกลางเกือบทุกเรื่อง

นายดอน กล่าวด้วยว่า สำหรับผู้แทนสหรัฐฯที่เดินทางมาประเทศไทย เป็นข่าวที่สิงคโปร์ แต่ไทยไม่ให้ข่าว มีประเด็นขอให้ช่วย โดยต้องการให้ไทยเป็นผู้นำอาเซียนในการประสานกับเมียนมาร์ แต่ไม่เป็นเรื่องที่พูดหรือเปิดเผยได้ ซึ่งการพูดคุยกับเมียนมาร์ ที่ผ่านมาเป็นประโยชน์และเขาเห็นด้วยในหลักการที่จะร่วมมือกับอาเซียน และนานาชาติ ดูแลปัญหาทุกข์สุขของประชาชน และสิ่งที่ได้คุยกับเมียนมาร์ ได้รับความเห็นชอบในหลักการ และได้พูดกับประเทศตะวันตกหลายประเทศ ซึ่งทุกประเทศอยากมีส่วนร่วม

นายดอน ยังกล่าวตอบประเด็นที่สหรัฐอเมริกาไม่เชิญประเทศไทยร่วมประชุมสุดยอดเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเพราะท่าทีไทยหลังเยือนเมียนมาร์ ว่า “ไม่เชิญไม่แปลก บางเรื่องดีใจ ที่ไม่ได้รับเชิญ แต่หากเชิญ เราต้องพิจารณาว่าจะไปหรือไม่ เพราะหลายกรณีเป็นดาบสองคม ไม่ใช่ไม่มีคำเชิญแล้วต้องกระทืบเท้าเสียใจ โลกเป็นจริงไม่เป็นแบบนั้น ความจริงของชีวิตต่างประเทศไม่ได้เป็นอย่างที่หลายคนเข้าใจ ผมอยากนัดทานข้าวกับท่าน เพื่อเล่าให้ฟังในหลายมุม”

ทั้งนี้นายสุทิน ปฏิเสธคำชวนของนายดอน และกล่าวว่าขอให้ใช้เวทีของสภาฯ เพื่อชี้แจง หากประชุมโดยเปิดเผยไม่ได้ ขอให้ประชุมลับได้ พร้อมตั้งคำถามด้วยถึงท่าทีของไทยต่อการรัฐประหารในประเทศเมียนมาร์ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง

โดย นายดอน กล่าวว่า “เข้าใจข้อเท็จจริง เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ ประเทศอาเซียน เรียกร้องให้คืนอำนาจเรารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่การคืนอำนาจหรือปรองดองให้มีอำนาจร่วมกันทำได้ ต้องพูดคุยกันท่าทีของไทยในทันที ไม่มีที่ไหนเกิดขึ้น หากพยายามหาช่องทางคุยกับผู้มีผลประโยชน์ร่วมกันมีประโยชน์คืนอำนาจและจัดสรรอำนาจระหว่างกัน เราเดินทางนี้ และหลายประเทศเข้าใจ ในโลกเป็นจริงกับต่างประเทศ มี  bad cop. และ Best Cop.  ซึ่งหลายประเทศมองว่าไทยคือ  Good Cop.”

แสดงความเห็น