นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นต่อสถานการณ์โควิด-19 ผ่านเฟซบุ๊กเพจ โดยระบุว่า ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เคยได้ชี้แจงไว้ว่า ไม่ได้คัดค้านการล็อกดาวน์ แต่การล็อกดาวน์ต้องไม่สูญเปล่า ต้องเจ็บแล้วจบ ขณะนั้นอัตราการตรวจพบเชื้อในไทยสูงกว่า 5% ติดต่อกัน 2 สัปดาห์ซึ่งเป็นตัวเลขตามเพดานของ WHO ว่าต้องล็อกดาวน์
“ตัวเลขอัตราการตรวจพบเชื้อมีนัยยะสำคัญอย่างไร ในช่วงที่สหรัฐอเมริกากำลังระบาดหนักที่สุด มีอัตราการตรวจพบเชื้ออยู่ที่ 15% ในขณะที่อินเดียมีอัตราการตรวจพบเชื้อนี้ที่ 23% ในส่วนของประเทศไทยตอนนี้ จากข้อมูลของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เมื่อวันที่ 31 ก.ค. ที่ผ่านมา พบว่าอัตราการตรวจพบเชื้อโควิดในประเทศไทยสูงถึง 24% และแนวโน้มกำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่ากลัว ตัวเลขนี้ตีความเป็นอื่นไม่ได้เลยนอกเหนือจากหายนะ การล็อกดาวน์ของเรากำลังสูญเปล่า และในครั้งนี้ ประชาชนจะเจ็บแต่ไม่จบ เจ็บแล้วเจ็บเล่า โดยที่รัฐบาลก็อยู่ในสภาวะไร้ประสิทธิภาพเกินกว่าที่จะช่วยเหลืออะไรได้”
นายพิธา ระบุต่อไปว่า วิกฤตการณ์ที่รุนแรงขึ้นในขณะนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ล้มเหลวในการจัดการวิกฤตอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่มีการออกมาตรการล็อกดาวน์ มีอำนาจเต็มจาก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ที่รวบอำนาจไว้ในมือ และมีเงินจาก พ.ร.ก. เงินกู้ 2 ฉบับจำนวนเงินกว่า 1.5 ล้านล้านบาทสาเหตุหนึ่งที่อัตราการตรวจพบเชื้อในไทยสูงขึ้นในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ ก็เพราะตัวเลขการตรวจน้อยลง จากข้อมูลของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในสัปดาห์ 11-17 ก.ค. มีการตรวจเฉลี่ย 6.9 หมื่นตัวอย่างต่อวัน ในสัปดาห์ 18-24 ก.ค. 6.75 หมื่นตัวอย่างต่อวัน ในสัปดาห์ 25-31 ก.ค. 6.18 หมื่นตัวอย่างต่อวัน
“การล็อกดาวน์ที่จะไม่ให้สูญเปล่านั้น ต้องมีการตรวจเชิงรุก การตรวจต้องมากขึ้นไม่ใช่น้อยลง เพื่อที่จะแยกปลาออกจากน้ำ เพื่อทำการรักษาและยุติการระบาดให้ได้เร็วที่สุด ตัวอย่างของการตรวจเชิงรุกประชากรทั้งเมืองในต่างประเทศก็มีให้เห็นมาแล้วไม่ว่าจะเป็นเมืองที่ประชากรหลักพันอย่าง Vò ที่อิตาลี หลักหมื่นอย่าง Bolinas, Califormia ที่สหรัฐฯ หลักแสนอย่าง Southampton ที่อังกฤษ และหลักล้านอย่างอู่ฮั่น ที่กล่าวมานี้ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลต้องบังคับทุกคนให้มาตรวจโควิด แต่ศักยภาพในการตรวจ RT-PCR ของประเทศเราอยู่ที่ประมาณ 70,000 ตัวอย่างต่อวันและไม่เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เดือน เม.ย. แล้ว รัฐบาลต้องมีการตรวจเชิงรุกและขยายศักยภาพในการตรวจมากกว่านี้”
นายพิธา ยังย้ำว่า การล็อกดาวน์ให้ไม่สูญเปล่า รัฐบาลต้องเยียวยาประชาชนให้ทั่วถึง จึงขอแสดงความกังวลต่อมาตรการเยียวยานายจ้างและลูกจ้างนอกระบบประกันสังคมโดยการให้นายจ้างมาเข้าระบบประกันสังคม เพราะจากแผนการดำเนินงานและแผนการเบิกจ่ายเงินเยียวยาตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ 26/2564 เมื่อ 23 ก.ค. 2564 นายจ้างที่มาขึ้นทะเบียนประกันสังคมรายใหม่จะต้องได้รับการตรวจสอบข้อมูลจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โดยจากตารางเวลาการดำเนินงาน อาจจะได้เงินเยียวยาล่าช้าถึงเดือนตุลาคม
“ผมขอย้ำอีกครั้ง ว่าปัญหาของรัฐบาลประยุทธ์ไม่ใช่ไม่มีงบประมาณมาใช้ในการเยียวยาประชาชนและแก้ปัญหาโควิด-19 จากดูตัวเลขการอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินจำเป็น และรายการแก้ปัญหาโควิด-19 ของปีงบ 64 ที่ตั้งเอาไว้รวมกัน 140,000 ล้านบาท จากที่สืบค้นได้ใน มติ ครม. (นอกจากนั้นจะมีเอาไปใช้ในทางลับอะไรอีกผมไม่ทราบ) พบว่ามีการอนุมัติแค่ 46,000 ล้านบาท หรือไม่ถึง 1 ใน 3 ของงบกลางที่ขอในปี 64 ไม่นับว่ามีเอกสารสำนักงบประมาณของรัฐสภารายงานว่า ณ วันที่ 30 มิ.ย. 64 มีการเบิกจ่ายแค่ประมาณ 12,000 ล้านบาทเท่านั้น (ไม่ถึง 10%) นี่ยังไม่นับ พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลออกมาได้จะ 3 เดือนแล้ว แต่ยังเป็น black box หรือ “พื้นที่ดำมืด” ที่เรายังไม่ทราบว่ารัฐบาลเอางบไปทำอะไรบ้างทุกปัญหา เราต้องแก้ให้ตรงจุด ตอนนี้ปัญหาวิกฤตของประเทศไม่ใช่ปัญหางบประมาณ แต่เป็นปัญหาเรื่องความสามารถของผู้นำและคณะ ผมจึงขอเสนอไปยังทุกท่านว่า ถ้าเราอยากออกจากวิกฤตนี้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำและคณะ คืนอำนาจให้ประชาชนรวมถึงแก้ไขปัญหาโครงสร้างการเมืองไทยโดยเร่งด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้มีอำนาจ แต่ไร้ความสามารถกลุ่มเดิมกลับมาได้อีก” นายพิธา ระบุ