เบญจา อัด บิ๊กตู่ ไม่กล้าหาญอย่างชายชาติทหาร หลังโดนฟ้องปิดปาก ปม เอี่ยวบ.พลังงาน

น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เปิดเผยหลังได้รับหมายเรียกคดีหมิ่นประมาทละเมิด เรียกค่าเสียหาย  100 ล้านบาท ทั้งคดีอาญาที่ศาลมีคำสั่งนัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 14 มิถุนายน 2564 เวลา 9.00 น.   และ คดีแพ่ง มีกำหนดสืบพยานโจทย์ ในวันที่ 28 มิถุนายน 2564  เวลา 9.00 น.  โดยทั้ง 2 หมาย  สืบเนื่องมาจาก การอภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า พลเอก ประยุทธ์ มีการเปิดโอกาสให้เอกชนรายหนึ่งได้รับประโยชน์จากนโยบายด้านพลังงานและสัมปทานจากภาครัฐ ท่ามกลางเศรษฐกิจย่ำแย่ ปล่อยให้กลุ่มทุนแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรของชาติ ซึ่งทำให้ประชาชนต้องใช้ค่าไฟฟ้าแพง ซึ่งหมายเรียกลงวันที่ 5 มีนาคม 2564 ในข้อหาหมิ่นประมาท ละเมิด เรียกค่าเสียหาย  ผู้กล่าวหาคือ กรรมการบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน)

ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้น ตนไม่รู้สึกแปลกใจกับการแจ้งความดำเนินคดี และรู้สึกหดหู่กับประเทศนี้กับการตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติกลับถูกแจ้งความดำเนินคดี  การพูดความจริง การเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนกลับถูกไล่ล่าดำเนินคดี  “ตนในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังถูกแจ้งความทั้งที่ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลตามครรลองรัฐสภา ปฏิบัติตามข้อบังคับ ไม่อยากนึกเลยว่าประชาชนคนธรรมดาที่ลุกขึ้นมาตั้งคำถามต่อการบริหารงานของรัฐบาลเขาจะได้รับการปฏิบัติเช่นไรกลับไป”

อย่างไรก็ตาม การนำเสนอในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ เชื่อมั่นว่าข้อมูลในการนำเสนอในการอภิปรายมีเจตนาที่ทำไปเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ และรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน เป็นสำคัญ  โดยในการอภิปรายมีความจำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงองค์กรและบุคคลต่างๆ ที่เชื่อมโยง กับเครือข่ายของระบอบประยุทธ์  ซึ่งมีความเสี่ยงที่ตนอาจจะถูกฟ้องดำเนินคดี  

“แต่สิ่งที่ดิฉันต้องการจะนำเสนอในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ คือการตั้งคำถามถึงเครือข่ายค้ำยันฐานอำนาจของระบอบประยุทธ์ที่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขยายกิจการโดยได้รับการสนับสนุน ลดหย่อน เอื้ออำนวยความสะดวก จากรัฐทหารทั้งในเชิงข้อกฎหมาย และการแลกเปลี่ยนกันในแบบต่างๆ รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อประเทศชาติและประชาชน  ซึ่งอันที่จริงแล้ว สิ่งที่ดิฉันได้อภิปรายไปในสภาฯนั้น  ถ้าพลเอกประยุทธ์ สามารถลุกขึ้นตอบและชี้แจงได้  ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนมากกว่านี้  แต่พลเอกประยุทธ์ก็กลับปัดไม่ตอบคำถามที่ดิฉันได้ตั้งคำถามไปในการอภิปรายฯ อีกทั้งทีมองครักษ์พิทักษ์ ของพลเอกประยุทธ์ก็กลับลุกขึ้นทำหน้าที่ประท้วงและปกป้องคุณประยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ไม่เปิดโอกาสให้การอภิปรายสามารถทำได้อย่างราบรื่นนัก”  น.ส.เบญจา กล่าว

ในการทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรของฝ่ายนิติบัญญัติในการตรวจสอบทางนโยบายและการทำงานของฝ่ายบริหาร ในรัฐบาลทหาร ของระบอบประยุทธ์ ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มีอภินิหารทางกฎหมายคอยอุ้มชู ก็ทราบดีว่าไม่ง่ายเลย แต่ในฐานะผู้แทนราษฎรที่ทำหน้าที่รับใช้ประชาชน ในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลแทนประชาชน ตนจะยังยืนหยัด ยืดอก ตัวตรง  ไม่หวั่นเกรงต่อผู้มีอำนาจ  และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างตรงไปตรงมา  เพื่อเรียกศรัทธาและความเชื่อมั่นให้กับสภาผู้แทนฯ ว่าจะยังเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายในการทำหน้าที่ตรวจสอบและรักษาผลประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชนต่อไปได้

ตนอยากสื่อสารไปยังรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีว่าแม้หมายเรียกครั้งนี้ท่านจะไม่ได้ฟ้องเองแต่ก็บ่งบอกว่า หากท่านรับไม่ได้กับการตรวจสอบตามระบอบประชาธิปไตยก็สมควรที่จะลาออกแล้วไปอยู่ในที่ที่ท่านชอบและคุ้นชิน  เพราะการเป็นนายกรัฐมนตรีในฐานะประมุขฝ่ายบริหาร เมื่อถูกรัฐสภาในฐานะสถาบันฝ่ายนิติบัญญัติตรวจสอบกลับแจ้งความกลับเช่นนี้ มันไม่สง่างามเลยสักนิด  พฤติกรรมหลายอย่างของพลเอกประยุทธ์ ทำให้เห็นว่าท่านไม่ได้กล้าหาญอย่างชายชาติทหารจริง แต่ท่านขี้ขลาดและกลัวความจริงกว่าสิ่งอื่นใด การแจ้งความเพื่อปิดปากหรือทำให้รู้สึกกังวลจากกรณีนี้ พวกท่านคิดผิด เพราะการแจ้งความปิดปากเช่นนี้ยิ่งชัดเจนว่า พวกท่านกลัวการตรวจสอบและกลัวความจริงที่จะปรากฏออกมา

โดยวันที่ 14 มิถุนายน และวันที่ 28 มิถุนายน นี้ จะเดินทางไปรายงานตัวต่อศาลแพ่ง และศาลอาญา  ด้วยความภาคภูมิใจว่าทำงานได้ตรงเป้า จนนายกรัฐมนตรีดิ้นและแจ้งความฟ้องร้องจากการเผยหลักฐานความไม่ชอบธรรมดังกล่าว แล้วพบกัน

แสดงความเห็น