“รมว.ยุติธรรม” เปิดศูนย์ EMCC พร้อมใช้กำไล EM คุมประพฤติ

“รมว.ยุติธรรม” เปิดศูนย์ EMCC แท็กทีม ‘อัยการ’ ใช้อำนาจขอศาลสั่งกักกันนักโทษคดีร้ายแรงติดนิสัยทำผิดซ้ำหลังพ้นโทษ พร้อมติดกำไล EM เพื่อสังคมปลอดภัย เริ่มเดินหน้าปีงบประมาณ 2564

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (รมว.ยธ.) เป็นประธานใน “พิธีเปิดศูนย์ควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring Control Center หรือ EMCC)” ภายใต้แนวคิด “ให้โอกาส คืนอิสรภาพ เพิ่มความมั่นใจ สู่สังคมปลอดภัย” พร้อมเยี่ยมชมศูนย์ควบคุมฯ และชมการสาธิตการใช้ระบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว โดยมี ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม นายวิศิษฏ์วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นางอภิรดี โพธิ์พร้อม รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค 1 Mr. Julien Garsany ผู้แทน UNODC และ นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติคณะผู้บริหารกรมคุมประพฤติ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนมีความยินดีที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์ควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว ของกรมคุมประพฤติกระทรวงยุติธรรมในวันนี้ เพราะเป็นนโยบายสำคัญของกระทรวงยุติธรรมประการหนึ่ง ที่มุ่งเน้นการลดความแออัดในเรือนจำ และลดการใช้การคุมขังในขั้นตอนต่างๆของกระบวนการยุติธรรม ทั้งในขั้นตอนการพิจารณาคดี และขั้นตอนหลังการพิจารณาคดี โดยการนำมาตรการทางเลือกแทนการจำคุกมาใช้ในแต่ละระดับ ซึ่งกระทรวงยุติธรรม ได้กำหนดแนวทาง เพื่อลดความแออัดในเรือนจำ และมีมาตรการเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ในความปลอดภัยให้กับสังคม โดยคำนึงถึงความรุนแรง ของการกระทำผิดและโทษที่ควรได้รับ เช่นคดีก่อการร้าย คดีฆ่า คดีข่มขืนเด็ก ควรได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต ส่วนคดีผลิตจำหน่ายส่งออกยาเสพติด ควรจำคุกระยะยาว 10 ปีขึ้นไป ส่วนคดีอื่น เช่น ลักทรัพย์ ฉ้อโกงบุกรุก ทำร้ายร่างกาย อาจได้รับโอกาสพักการลงโทษ โดยนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว หรือ กำไล EM มาใช้ เพื่อเป็นมาตรการทางเลือกแทนการจำคุก

“การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวกับกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะผู้ได้รับการพักการลงโทษนั้น ก่อนการปล่อยตัวผู้ต้องขัง ต้องผ่านโปรแกรมที่เข้มข้น เพื่อพัฒนาพฤตินิสัย จนกระทั่งมีพฤติกรรมที่ดีขึ้น ถึงเข้าสู่กระบวนการพิจารณาวินิจฉัยพักการลงโทษ ซึ่งจะพิจารณาในประเด็นต่างๆ ได้แก่ ผู้อุปการะที่จะให้การดูแล ชุมชนที่จะกลับไปพักอาศัย ตลอดจนความเห็นของคู่กรณีหรือผู้เสียหาย ซึ่งหากเข้าเกณฑ์ จะมีโอกาสในการพักการลงโทษและติดอุปกรณ์กำไล EM” นายสมศักดิ์ กล่าว 

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า อุปกรณ์กำไล EM จะก่อประโยชน์ให้กับชุมชน เนื่องจากสามารถควบคุม และติดตามผู้ที่ได้รับการพักการลงโทษ สร้างความมั่นใจให้กับประชาชน โดยในอนาคต อาจมีการขยายการใช้อุปกรณ์ EM เป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัยกับกลุ่มคดีร้ายแรง ที่กระทำผิดซ้ำซาก และต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยกระทรวงยุติธรรม จึงได้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ในการใช้อุปกรณ์ 3 กลุ่มคือ 1.กลุ่มผู้ถูกคุมความประพฤติ ซึ่งศาลให้รอการลงโทษจำคุก 2. กลุ่มนักโทษเด็ดขาด ที่ได้รับการพักการลงโทษ และลดวันต้องโทษจำคุก 3.กลุ่มผู้รอการตรวจพิสูจน์ยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ปี 2545 ซึ่งคาดว่าจะสามารถใช้อุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว กับผู้กระทำผิดทั้ง 3 กลุ่ม ได้ปีละประมาณ 87,700 ราย

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ศูนย์ควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว ซึ่งดูแลโดยกรมคุมประพฤติ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการเป็นศูนย์กลาง เพื่อควบคุมติดตามกลุ่มเป้าหมาย ให้ปฏิบัติตามเงื่อนไข รวมถึงสามารถบริหารจัดการ หากมีผู้ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข หรือ จงใจฝ่าฝืนเงื่อนไข ที่กำหนดได้อย่างทันท่วงที โดยจะสามารถป้องกันและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบ ที่เป็นภัยต่อประชาชนและสังคม ซึ่งตน ขอให้การดำเนินการทุกระบบเป็นไปด้วยความเรียบร้อยประสบความสำเร็จตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้

จากนั้น รมว.ยธ. พร้อมคณะ ได้ตรวจเยี่ยมศูนย์ควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว ซึ่งมีเจ้าหน้าที่คอยสังเกตการณ์ติดตามผู้ถูกคุมประพฤติที่ใส่กำไล EM อย่างใกล้ชิดทั่วประเทศเพื่อป้องกันการทำผิดผ่านระบบเฝ้าติดตาม รวมทั้ง มีการสาธิตให้ผู้ถูกคุมประพฤติได้ติดกำไล EM เพื่อแสดงสัญญาณผ่านระบบ และได้มีการพูดคุยกับผู้ถูกคุมประพฤติจาก จ.ระยอง ผ่านระบบสอบถามการติดกำไล EM ทดสอบประสิทธิภาพการใช้งาน นอกจากนี้ ตรวจเยี่ยมศูนย์ปฏิบัติการกรมคุมประพฤติ (JSOC) ซึ่งจะมีระบบติดตามนักโทษคดีร้ายแรงเพื่อป้องกันการก่อเหตุซ้ำและความปลอดภัยในสังคม

นายสมศักดิ์ ยังแถลงข่าวย้ำว่า การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวนักโทษ ต้องคำนึงถึงความพร้อมของผู้ที่จะได้รับการพักโทษ โดยดูจากการพัฒนาพฤตินิสัยที่ต้องเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี จึงจะได้รับการพักโทษ ซึ่งในกรณีที่ไม่มีผู้อุปการะดูแล ก็จะเป็นปัญหา รวมถึงความคิดเห็นของคู่กรณี ที่หากพักโทษออกมาแล้ว คู่กรณีที่อยู่ด้านนอกไม่เห็นด้วย ก็ยังต้องพิจารณาโดยคณะอนุกรรมการก่อน หรือแม้แต่ออกมาแล้วอยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีใครดูแลเลี้ยงดู ดังนั้นต้องคำนึงถึงความเรียบร้อยและไม่เป็นภัยกับสังคม ซึ่งนักโทษที่ใช้กำไล EM จะอยู่ในระดับปานกลาง

ส่วนกลุ่มนักโทษเดรัจฉานหรือนักโทษคดีร้ายแรงใน 1 ปี จะมีประมาณ 30 กว่าคน แม้จะมีศูนย์ JSOC แต่ที่ผ่านมาไม่สามารถใช้ศักยภาพได้เต็มที่ เพราะไม่สามารถกักกันควบคุมติดตามผู้ต้องขังที่มีโทษหนักและสังคมวิตกกังวลได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น จึงขอบคุณสำนักงานอัยการสูงสุดที่ช่วยแก้ปัญหาเพราะไม่สามารถบริหารศูนย์ JSOC ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดได้รับเป็นภาระดูแลการใช้กฎหมายกักกันที่จะขออำนาจศาลเพื่อใช้กำไล EM ติดตามนักโทษคดีร้ายแรงที่พ้นโทษแล้ว

“สำนักอัยการจะช่วยเราดูแล เป็นการปกป้องสังคม ถ้าหากว่า สังคมรู้ว่า ผู้กระทำผิดหรือฆาตกรจิตทรามไปตรงไหนก็จะมีคนตาย ใช้มาตรการสังคมช่วยกันดูแล แต่การที่จะใช้มาตรการสังคมดูแลนั้น ต้องได้รับการอนุญาตให้กักกัน ซึ่งเราทำไม่ได้เลย แต่วันนี้ท่านสำนักงานอัยการแก้ปัญหาให้เราได้” นายสมศักดิ์ กล่าว

จากนั้น นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา สำนักงานอัยการสูงสุด ชี้แจงภารกิจสำนักงานอัยการสูงสุดเรื่องมาตรการการกักกันโดยการควบคุมผู้กระทำความผิดในสถานที่กำหนดว่า เป็นอำนาจของพนักงานอัยการโดยเฉพาะในการร้องขอกักกันผู้กระทำความผิดติดนิสัย ซึ่งหากผู้กระทำความผิดเข้าหลักเกณฑ์เป็นผู้กระทำความผิดติดนิสัย อัยการจะฟ้องศาลขอให้กักกันผู้กระทำความผิดติดนิสัยทุกเรื่อง ยืนยันว่า ในสำนวนคดีอาญา พนักงานอัยการพิจารณาเรื่องวิธีการเพื่อความปลอดภัยเรื่องการกักกันทุกสำนวน หากมีข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวนชัดเจนก็จะร้องขอให้กักกันทุกเรื่อง โดยเฉพาะหากได้ข้อมูลที่เป็นเรื่องการกระทำความผิดของผู้กระทำความผิดติดนิสัย หากได้รับจากกรมราชทัณฑ์ก็จะช่วยทำให้สำนวนการสอบสวนในคดีอาญาสมบูรณ์ยิ่งขึ้น 

ขณะที่นายพรชัย ชลวาณิชกุล รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา สำนักงานอัยการสูงสุด ระบุว่า ผู้กระทำความผิดติดนิสัย มักกระทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่มีกฎเกณฑ์ให้อยู่ในการควบคุมดูแลให้จำเลยที่พ้นโทษอยู่ในการควบคุมดูแล ทั้งนี้ หากติดนิสัยตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป อัยการก็จะขอให้ศาลกักกันตั้งแต่จำเลยพ้นโทษ แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับฐานข้อมูล หากมีฐานข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมและ สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ชัดเจน สำนักงานอัยการสูงสุดก็จะใช้วิธีมาตรการความปลอดภัยทุกคดี เพื่อให้ความมั่นใจว่า คนที่ทำผิดติดนิสัยจะไม่สามารถออกมาทำผิดอีกเพราะจะมีระบบการตรวจสอบที่ชัดเจน

ด้านนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ชี้แจงว่า กรณีผู้กระทำความผิดติดนิสัย หมายถึง ศาลพิพากษาจำคุกไม่ต่ำกว่า 6 เดือน 2 ครั้งแล้วกลับมาทำผิดอีก ตัวอย่างของคนที่กระทำความผิดติดนิสัย และทำให้สังคมสะพึงกลัวมากที่สุดก็คือ นายสมคิด พุ่มพวง ที่ฆ่าหั่นศพ 5 คดี แต่กลับมากระทำความผิดอีกโดยพฤติกรรมก่อเหตุเดิมๆ ซึ่งกระทรวงยุติธรรมกังวลว่า คนเหล่านี้จะกลับไปสู่สังคมโดยไม่มีความปลอดภัยได้อย่างไร ดังนั้น สำนักงานอัยการจึงได้ประสานกับกระทรวงยุติธรรมและ เตรียมประสานไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องฐานข้อมูลเพื่อเป็นข้อมูลสำคัญในการฟ้องขอศาลกักกัน ซึ่งกฎหมายกำหนดว่า ถ้าคนที่ก่อเหตุครั้งแล้วครั้งเล่ากลับมาก่อเหตุอีก นอกจากจะฟ้องให้ลงโทษสถานหนักแล้ว  อัยการก็จะใช้วิธีเพื่อให้เกิดความปลอดภัย ด้วยการขอเข้าไปในคำฟ้องว่าเมื่อพ้นโทษแล้ว ขอให้ศาลกักกันด้วย ซึ่งศาลกักกันได้ตั้งแต่ 3-10 ปี เพื่อดัดนิสัย ฝึกอาชีพ ในสถานที่กักกัน ซึ่งอัยการมีระเบียบชัดเจน พร้อมที่จะขับเคลื่อนทั่วประเทศขอเพียงแค่ฐานข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์

ด้าน ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ชี้แจงว่า เรื่องการพักโทษ จะไม่ใช้กับนักโทษอุกฉกรรจ์ นอกจากนี้ การพักโทษเป็นหลักสากลที่สามารถปล่อยตัวนักโทษไปได้ก่อน ซึ่งต้องประเมินความเสี่ยงว่าคนที่ปล่อยไปจะไม่กระทำความผิดอีก โดยกำหนดเงื่อนไขว่า ห้ามออกนอกเขตกำหนด ห้ามเข้าไปในเขตบ้านผู้เสียหาย ห้ามออกนอกบ้านเวลากลางคืน ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้ คณะอนุกรรมการพักโทษจะกำหนดให้คณะกรรมการควบคุมความประพฤติดูแลและรายงานตัว เพื่อยืนยันว่า จะมีอาชีพทำงานและอยู่ในสังคมอย่างปกติ แต่การดำเนินการต่างๆจะไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการกำหนดเงื่อนไขต่างๆ ต้องอาศัยบุคคลไปเฝ้าดูแต่ปัจจุบันกำไล EM สามารถตรวจสอบดูได้ว่า บุคคลดังกล่าวอยู่ที่ใด โดยผู้ที่ปล่อยตัวในการพักโทษทุกคน ยกเว้นกรณีที่ป่วยเจ็บจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ จะต้องติดอุปกรณ์อีเอ็มเป็นเวลา 1 ปี หลังจากการปล่อย ฉะนั้น 1 ปี เป็นระยะเวลาที่เสี่ยงที่สุดในการทำความผิดซ้ำ คนที่ปล่อยไปตั้งแต่อุปกรณ์นี้และมอนิเตอร์จากศูนย์ EM เพื่อควบคุมความประพฤติ หาก 1 ปี ไม่เพียงพอทางกรมควบคุมความประพฤติก็สามารถติดเพิ่มเติมได้  เชื่อว่า การติดกำไล EM จะลดโอกาสในการทำความผิดซ้ำคนที่ปล่อยจากการพักโทษลงได้อีก ปัจจุบันอัตราการกระทำความผิดซ้ำของผู้ที่ได้รับการพักโทษอยู่ที่ประมาณร้อยละ 10 เท่านั้น ดังนั้น จึงจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้กลุ่มนี้ได้ออกไปข้างนอก และสังคมก็มีความปลอดภัย

นายสมศักดิ์ ยังย้ำว่า นักโทษคดีร้ายแรง ที่อัยการขอศาลให้มีการกักกัน หลังจากพ้นโทษแล้ว นอกจากจะนำไปกักกันในสถานที่กำหนดแล้วยังจะต้องใส่กำไล EM เพื่อความปลอดภัยของสังคม ส่วนข้อกังวลเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ศาลได้อนุมัติแล้ว ซึ่งนักโทษร้ายแรงมีอยู่ปีละประมาณ 30 คน โดยขณะนี้ยังไม่มีนักโทษกลุ่มร้ายแรงที่ติดกำไล EM แต่อัยการได้รับเรื่องนี้ไปดำเนินการ ดังนั้น จึงขอให้สบายใจที่จะเดินหน้าในปีงบประมาณต่อไป 

แสดงความเห็น