“สมศักดิ์” ใจสู้ ป่วยบ้านหมุน แต่บินด่วนสุโขทัย มอบถุงยังชีพ-เยียวยา

“สมศักดิ์”ใจสู้ ป่วยบ้านหมุน แต่บินด่วนสุโขทัย มอบถุงยังชีพ 2,000 ชุด พร้อมเยียวยาผู้เสียชีวิต 5 ราย คนละ 8 หมื่นบาท ย้ำ นายกฯเศรษฐา ให้ความสำคัญ กำชับเร่งเยียวยา พร้อมประสานด่วนกรมทางหลวง ซ่อมสะพานสิริปัญญารัตน์ หวั่นพังเพิ่ม ชู โครงการระบายน้ำฝั่งขวาแม่น้ำยม ยาว 51 กิโลเมตร ช่วยแก้น้ำแบบยั่งยืนได้ 

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม น.ส.ณัฐธิดา เทพสุทิน บุตรสาว นายมนู พุกประเสริฐ นายก อบจ.สุโขทัย นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ สส.สุโขทัย น.ส.ประภาพร ทองปากน้ำ สส.สุโขทัย นายเขตพงศ์ กุลนาถศิริ รองนายก อบจ.สุโขทัย ได้ลงพื้นที่จังหวัดสุโขทัย โดยมีนายสุชาติ ทีคะสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย เข้าร่วม เพื่อมอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบภัย จำนวน 2,000 ชุด ใน 2 พื้นที่ คือ วัดบ้านไร่ อำเภอศรีสำโรง และ วัดปากคลอง อำเภอเมือง นอกจากนี้ ยังได้มอบเงินเยียวยาให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัยในจังหวัดสุโขทัย จำนวน 5 ราย โดยมอบเป็นค่าจัดการศพ รายละ 50,000 บาท และเงินทุนเลี้ยงชีพแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต รายละ 30,000 บาท 

โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า สถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดสุโขทัย ส่งผลให้ประชาชนได้รับผลกระทบแล้ว 9 อำเภอ 16,168 ครัวเรือน และส่งผลให้พื้นที่ทางการเกษตรได้รับความเสียหาย 143,295 ไร่ ทำให้รัฐบาล โดยเฉพาะนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใย จึงกำชับให้ตนเร่งช่วยเหลือเยียวยา ซึ่งเมื่อวานที่ผ่านมา ตนได้ประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นการด่วน เพื่อเห็นชอบเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วม อย่าง ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย ก็ได้รับการช่วยเหลือเบื้องต้น เป็นถุงยังชีพ จำนวน 2,000 ชุด มูลค่ากว่า 1.4 ล้านบาท และช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียชีวิต ในจังหวัดสุโขทัย จำนวน 5 ราย เป็นค่าจัดการศพ รายละ 5 หมื่นบาท และค่าดำรงชีพ อีกรายละ 3 หมื่นบาท 

“ถึงแม้ผมจะมีอาการไม่ค่อยสบายมาหลายวันแล้ว เนื่องจากพักผ่อนน้อย จึงเกิดอาการบ้านหมุน เดินไม่ค่อยสะดวก แต่เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือฯ มีมติเยียวยา ผมก็รีบบินด่วนกลับจังหวัดสุโขทัยทันที เพราะต้องการเยียวยาพี่น้องประชาชน ที่ได้รับผลกระทบให้ได้เร็วที่สุด ดังนั้น ขอให้เชื่อมั่นว่า เมื่อเกิดปัญหา เราจะไม่ทอดทิ้งกัน ผมในฐานะนักการเมือง ก็จะทำหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชนให้ดีที่สุด”นายสมศักดิ์ กล่าว 

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการแก้ปัญหาการบริหารจัดการน้ำในระยะยาว ตนได้ผลักดันโครงการระบบระบายน้ำฝั่งขวาแม่น้ำยม ระยะทางกว่า 51 กิโลเมตร โดยจะเชื่อมโยงทั้งหมด 3 อำเภอ 11 ตำบล จะทำให้สามารถช่วยระบายน้ำให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยลง รวมถึงสามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้หน้าแล้งได้ด้วย โดยโครงการนี้ จะเชื่อมโยงตั้งแต่ คลองทางไม้ ต.ปากแคว คลองชัด ต.วังใหญ่ คลองระกำ ต.บ้านไร่  หนองซิง ต.หนองกลับ คลองพระองค์ ต.วังไม้ขอน และคลองน้ำโจน ต.ป่ากุมเกาะ ขณะเดียวกัน ตนก็กำลังผลักดันการสร้างคลองอ้อมอำเภอศรีสำโรง โดยขณะนี้ กำลังออกแบบและทำประชาพิจารณ์ แต่ยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้ในงบประมาณของปีนี้ ซึ่งน่าจะได้เริ่มดำเนินการในปี 2568 

“ผมจึงอยากให้พี่น้องประชาชนรับฟังว่า สิ่งเหล่านี้ต้องดำเนินการ และการทำโครงการแก้ปัญหาเรื่องน้ำ ไม่ใช่นึกอยากทำก็สามารถทำได้ เพราะต้องผ่านหลายขั้นตอน ตั้งแต่ 1.ผู้นำท้องถิ่น เสนอโครงการ 2.ผู้ว่าราชการ ประชุมเห็นชอบ 3.หัวหน้าลุ่มน้ำ เห็นชอบ 4.คณะกรรมการน้ำแห่งชาติ ซึ่งมีผมเป็นประธาน ให้ความเห็นชอบ และ 5.เข้าสู่ขั้นตอนงบประมาณ ดังนั้น จะเห็นว่า ในการทำโครงการ ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องผ่านการเห็นชอบหลายขั้นตอน จึงเชื่อมั่นได้ว่า แต่ละโครงการที่ขับเคลื่อน จะสามารถช่วยพี่น้องประชาชน ให้ได้รับผลกระทบน้อยลงได้อย่างแน่นอน” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว 

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากความเสียหายบริเวณทับผึ้ง ขณะนี้ เราได้รับงบประมาณมาซ่อมแซมแล้ว ซึ่งจากนี้ เราจะผันน้ำจากจังหวัดกำแพงเพชร ผ่านคลองตาทรัพย์ มาลงหน้า อบต.ยางซ้าย เพื่อนำน้ำมาใช้ในหน้าแล้ง แต่การกั้นไม่ให้น้ำท่วมนั้น เราต้องอดทนไปอีกระยะ รอให้ได้งบประมาณมาขับเคลื่อนโครงการ ก็จะมีโอกาสแก้ไขปัญญาในระยะยาวได้ ซึ่งวันนี้ เป็นโอกาสดีที่ตนเป็นรองนายกฯ กำกับดูแลทั้งถนนและน้ำ ก็จะสามารถเข้ามาช่วยเหลือประชาชนได้ เพราะตนให้ความสำคัญในทุกมิติแม้กระทั่งบ่อบาดาล 

นอกจากนี้ ภายหลังมอบถุงยังชีพ นายสมศักดิ์ ยังได้ลงพื้นที่บริเวณสะพานสิริปัญญารัตน์ อำเภอศรีสำโรง ซึ่งเป็นจุดที่เกิดสะพานขาด โดยนายสมศักดิ์ ได้ประสานไปยังกรมทางหลวง เพื่อให้รีบเข้ามาดำเนินการแก้ไข เพราะมีความกังวลว่า อาจจะมีมวลน้ำขนาดใหญ่ไหลมาเพิ่มอีก จะส่งผลให้บริเวณจุดนี้ ได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง และกระทบกับประชาชน ที่ต้องสัญจรผ่านไปมา 

แสดงความเห็น