“สมศักดิ์” ถกชุดพาลีปราบยา ชี้ มีผลงานยึดอายัดทรัพย์ชัดเจน ตั้ง “ชูวิทย์”นั่งที่ปรึกษา 

“สมศักดิ์” ถกชุดพาลีปราบยา ชี้ มีผลงานยึดอายัดทรัพย์ชัดเจน ยัน ตรวจสอบแล้วไม่มีถอย ตั้ง “ชูวิทย์” นั่งที่ปรึกษา ติดตามการทำงาน ช่วยเป็นหูเป็นตา หวังสังคมหมดครหา สั่งรื้อคดีชบา หลังอัยการแนะเอาผิดคดีพนันออนไลน์ พร้อมตั้งชุดติดตามความคืบหน้าคดีชมพู บ้วนหลี

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษเพื่อการยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติด (พาลีปราบยา) โดยมีนายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการฯ และคณะพาลีปราบยา เข้าร่วม ที่กระทรวงยุติธรรม 

โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องชุดพาลีปราบยา มีการพูดกันว่า ชุดนี้ทำงานไม่จริง ซึ่งเมื่อมีการเข้าตรวจสอบแล้วก็ถอย ไม่มีการอายัดทรัพย์ โดยยืนยันว่า ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะชุดพาลีปราบยา ตนผลักดันให้มี เพื่อมาติดตามดูธุรกรรมทางการเงิน และค้นหาทรัพย์ของเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด เพื่อรองรับประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่ ที่เน้นเรื่องการยึดอายัดทรัพย์เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด จึงมีการตั้งชุดนี้มา เพื่อสืบทรัพย์ และก็ทำให้ในปีที่ผ่านมา สามารถยึดอายัดได้ถึง 11,003 ล้านบาท 

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ชุดพาลีปราบยาในส่วนของดีเอสไอ ได้รายงานภาพรวมว่า ช่วงที่ผ่านมา ได้มีการสอบสวนคดีถึง 7 คดี และเรื่องสืบสวน จำนวน 2 เรื่อง จนสามารถยึดอายัดทรัพย์ ตามพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ จำนวน 832 ล้านบาท ส่งให้คณะการตรวจสอบทรัพย์สิน เพื่อให้ ป.ป.ส.ยึดอายัดสมคบยาเสพติด จำนวน 406 ล้านบาท และปัจจุบันยึดอายัดไว้อีก 1,013 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีคดีตู้ห่าว ร่วมยึดอายัดทรัพย์อีก 3,189 ล้านบาท จึงจะเห็นได้ว่า มีการทำงานแบบบูรณาการอย่างแท้จริง 

“และจากที่สังคมเกิดข้อครหา รวมถึงไม่กล้าแจ้งเบาะแสยาเสพติด ผมจึงแต่งตั้งนายชูวิทย์ ให้เป็นที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการชุดนี้ เพื่อให้ช่วยเข้ามาติดตามการทำงานของคณะพาลีปราบยา และร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล ติวเข้มให้เจ้าหน้าที่ เพื่อทำให้สังคมเกิดความสบายใจได้ว่า มีการทำงานกันอย่างจริงจัง โดยมีนายชูวิทย์ เป็นหูเป็นตา ซึ่งก็จะยิ่งทำให้ประชาชนเชื่อมั่น และช่วยกันแจ้งเบาะแสยาเสพติดมากขึ้น” รมว.ยุติธรรม กล่าว 

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า คดีเครือข่ายชบา หรือ ที่เกี่ยวข้องกับประธานสโมสรฟุตบอล ตนได้รับรายงานว่า อัยการสั่งไม่ฟ้อง จึงให้แนวทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้นำคดีกลับมาทำใหม่ได้หรือไม่ เพราะอาจมีข้อมูลใหม่ รวมถึงเผื่อมีใครไปรับเงินเขามา ก็จะสามารถตามไปยึดได้ เพื่อทำให้สังคมหมดความสงสัย ตนจึงอยากให้นำมาทำใหม่ ซึ่งก็ตรงกับที่อัยการให้ความเห็นไว้ว่า ให้ดีเอสไอ หาความผิดอื่น เพราะในสำนวน ผู้ต้องหาไม่ได้สมคบ แต่รับว่า ทำพนันออนไลน์ ทำให้คดีนี้ จะเดินต่อไปได้ โดยเรื่องนี้ ดีเอสไอ รับทราบดำเนินการแล้ว ส่วนการนำคดีมาทำใหม่ ตนได้มอบหมายให้หาผู้รับผิดชอบภายในวันที่ 13 ม.ค.นี้ เพื่อทำเป็นคดีตัวอย่าง คนที่ร้องจะได้รู้ว่า เรากำลังเรียนรู้กับกฎหมายใหม่ รวมถึงที่มีการกล่าวอ้างว่า มีการเรียกรับสินบน ก็จะมีการประสานไปยังคนร้อง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันด้วย นอกจากนี้ ตนยังได้สั่งให้ติดตามความคืบหน้าคดีชมพู บ้วนหลี ที่เกิดตั้งแต่ปี 2563 แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีความคืบหน้า จึงสั่งตั้งคณะทำงานขึ้นมา 1 ชุด เพื่อทำให้สังคมทราบว่า มีตัวเลขยึดทรัพย์เครือข่ายนี้เท่าไหร่แล้ว โดยให้เวลาสรุปผลภายใน 1 เดือน 

ขณะที่ นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนรู้สึกเสียดาย ที่รัฐมนตรีสมศักดิ์ มีวาระดำรงตำแหน่งอีกไม่นาน ซึ่งพอตนเข้ามาเห็นการทำงานแบบนี้ ก็รู้สึกเสียดาย ที่เป็นคนทำงานเอาจริงเอาจัง จนคดีมีความคืบหน้า แต่ถ้ารัฐมนตรีสมศักดิ์ ไม่อยู่ ตนก็อยากฝากเจ้าหน้าที่ทุกท่านว่า ปัญหาของเรื่องทุนจีนเทา ที่ยึดทรัพย์ได้น้อย เป็นเพราะมีการทำงานที่ล่าช้า จนมีการโยกทรัพย์หนีไปได้ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก ที่ไม่สามารถยึดเงินสดตู้ห่าวได้เลย รวมถึงทำให้ปัจจุบันตู้ห่าว ก็ยังไม่ถูกแจ้งข้อหาฟอกเงิน จะมีเพียงลูกทีมเท่านั้นที่โดน นอกจากนี้ การที่กลุ่มจีนเทาได้ประกันตัว พยานในคดีนี้ ก็เริ่มหวั่นไหว เพราะเริ่มมีการวิ่งหาพยาน ดังนั้น เจ้าหน้าที่ ต้องมีการทำงานที่เร็วกว่ากลุ่มจีนเทา

แสดงความเห็น