เงินบริจาค พปชร. 3 ล้าน ได้แค่ทุบ แต่ยุบพรรคยาก 

ปมเงินบริจาค3 ล้านบาทให้กับ “พรรคพลังประชารัฐ” ของ ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ อดีตนักธุรกิจชาวจีนที่ปัจจุบันถือสัญชาติไทย ที่บริจาคให้กับพรรคเมื่อ ปี  2564 และถูกสื่อบางสำนักโยงว่า เชื่อมโยงกับผับชาวจีนย่านยานนาวา ที่ถูกตำรวจบุกจับหลังมีการเปิดปาร์ตี้ยาเสพติด 

แต่เมื่อ “เสี่ยชัยณัฐร์” หรือหาวเจ๋อ ตู้  ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อ โดยปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับผับดังกล่าว และประกาศอาจจะต้องฟ้องดำเนินคดีกับคนที่นำตนไปเชื่อมโยง ก็ทำให้ เห็นได้ชัดว่า การออกมาให้ความเห็นในเรื่องนี้ ลดความร้อนแรงลงทันที 

“ผมเป็นผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวโดยสุจริตสถานที่ประกอบการดังกล่าว เป็นของสมาคมไหหนำ และให้เช่าแก่ผู้อื่น ซึ่งทราบว่าผู้เช่าได้นำสถานที่ดังกล่าวให้เช่าช่วงแก่ผู้อื่นไปตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 และผู้เช่าช่วงซึ่งเป็นผู้ประกอบการในสถานที่ดังกล่าว ได้ต่อสัญญาครั้งที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นเวลา 3 ปี โดยที่ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ จำเป็นต้องปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง โดยจะดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่ง”

ทั้งนี้ในเชิงการเมืองโดยเฉพาะกับ “พลังประชารัฐ” ประเด็นก็คือ มีการมองกันว่า เงินบริจาคจะทำให้พลังประชารัฐ สุ่มเสี่ยงจะถูกเอาผิดจนโดน “ยุบพรรค” ได้หรือไม่ กับสองปมข้อกฎหมายสำคัญตามพ.ร.บ.พรรคการเมืองฯ คือ 

มาตรา 74 ที่บัญญัติว่า “ห้ามมิให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ อื่นใดจากบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย” หากเกิดว่า หาวเจ๋อ ตู้ -ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ แม้จะได้สัญชาติไทยแล้ว แต่หากยังไม่ได้สละสัญชาติจีนในช่วงบริจาคเงิน ก็อาจมีปัญหาตามมาได้ 

และอีกมาตราหนึ่งคือ เงินดังกล่าว ที่พรรคพลังประชารัฐได้รับมา เป็นเงินที่ได้มาโดยชอบหรือไม่ เพราะมาตรา 72 ของพ.ร.บ.พรรคการเมือง บัญญัติว่า ไม่ให้พรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดโดยรู้ หรือควรจะรู้ว่าได้มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งหากฝ่าฝืนหรือเข้าข่ายก็อาจโดนร้องให้ยุบพรรคได้ 

เรื่องนี้มาว่ากันทีละปม ก็พบว่า เรื่องห้ามมิให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ อื่นใดจากบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย 

ประเด็นนี้ คงตัดออกไปได้แล้ว เพราะฝ่ายกกต.ได้ทำการตรวจสอบ ที่ก็ทำได้โดยเร็วอยู่แล้ว เพราะมีฐานข้อมูลประชาชนทั่วประเทศทุกคน ที่เชื่อมกับฐานข้อมูลบัตรประชาชนกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ที่เป็นหน่วยงานหลักตามกฎหมายเดียวกระทรวงเดียวในการที่จะให้สัญชาติไทยกับชาวต่างชาติ ทางกกต. ตรวจสอบแล้ว ก็พบว่า ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ ได้สัญชาติไทยโดยถูกต้องและขณะบริจาคเงินให้กับพลังประชารัฐ ก็ถือสัญชาติไทยเพียงสัญชาติเดียว การบริจาคเงินดังกล่าว จึงไม่ถือว่า พลังประชารัฐ ได้เงินบริจาคเข้าพรรคจากคนที่ไม่ใช่สัญชาติไทย 

แต่ประเด็นถัดมาคือเรื่อง ไม่ให้พรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดโดยรู้ หรือควรจะรู้ว่าได้มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

เรื่องนี้พบว่า “นายทะเบียนพรรคการเมือง” คือ แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ก็ไม่ได้การันตี เพราะคงเป็นเรื่องที่แปลกหากนายทะเบียนพรรคการเมืองจะออกมาการันตีด้วยตัวเองในเวลาอันรวดเร็ว หลังมีข่าวเรื่องดังกล่าว เพราะการจะไปตรวจสอบเงิน 3 ล้านบาทดังกล่าวว่า นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ นำเงินมาจากไหน เป็นเงินส่วนตัวหรือเงินจากการทำธุรกิจมาบริจาคให้กับพรรคพลังประชารัฐ หากจะตรวจสอบ เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลานาน อีกทั้งก็ต้องดูด้วยว่า ทำได้หรือไม่ได้ กฎหมายเปิดช่องให้ทำหรือไม่ จึงไม่แปลกที่ นายทะเบียนพรรคการเมือง จะขอเวลาในการพิจารณาตรวจสอบ  

“จำนวนเงินที่บริจาคพบว่าอยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด แต่ส่วนของพรรคผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรู้หรือควรจะรู้ว่าแหล่งที่มาของเงินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ตรงนี้อยู่ในชั้นสำนักงานฯ กำลังดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เมื่อตรวจสอบแล้วก็จะมีการทำเรื่องเสนอมายังนายทะเบียนพรรคการเมือง” แสวง บุญมีบอกไว้เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว 

ประเด็นของเรื่องนี้ จึงต้องดูว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองและกกต. จะมองเรื่องนี้อย่างไร จะเข้าไปตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินหรือไม่ และหากทำจะต้องขอความร่วมมือหน่วยงานใดบ้างและทำได้หรือไม่ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสรรพากร จึงต้องดูว่า ฝ่ายกกต.จะขยับเรื่องนี้อย่างไร เพราะหากการประกอบธุรกิจของผับชาวจีนดังกล่าว ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับ ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะหากจะถึงขั้นตรวจสอบเส้นทางการเงินกันแล้วไม่พบ ความเชื่อมโยงระหว่างกันของชัยณัฐร์ กับผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจผับดังกล่าว มันก็คงทำให้ กกต.ไม่สามารถขยายผลใดๆได้ 

เรื่องนี้จึงต้องดูท่าทีของนายทะเบียนพรรคการเมือง-กกต.จะว่าอย่างไร จะขยายผลหรือจบแค่นี้ โดยทางกกต. ก็คงขอรอดูก่อนว่า ฝ่ายตำรวจว่าอย่างไร หากฝ่ายตำรวจบอกว่าไม่พบอะไร กกต.ก็คงไม่ขยับ  

แต่ในทางการเมืองพบว่าฝ่ายค้าน ก็ไม่พลาดที่จะพยายามลากโยงเรื่องนี้ เพื่อหวังให้เป็นผลทางการเมืองกับพลังประชารัฐ ยิ่งตอนนี้ ใกล้เข้าโหมดเลือกตั้งและสภาฯ ก็เปิดตั้งแต่ 1 พ.ย. มันก็ได้จังหวะที่ฝ่ายค้าน ที่ต้องขยายผลและหาช่องทาง “ทุบพลังประชารัฐ” ทางการเมือง 

เห็นได้จากท่าทีของฝ่ายค้านอย่าง “ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. และโฆษกพรรคก้าวไกล” ที่ออกมาระบุว่าในการยื่นขอเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่คาดว่าจะยื่นช่วงกลางเดือนพ.ย.นี้นั้น ฝ่ายค้านจะมีการหยิบยกประเด็นต่างๆ มาอภิปราย เช่น เหตุกราดยิงที่ จ.หนองบัวลำภู การบริหารจัดการน้ำท่วมในหลายๆจังหวัด ที่ไม่มีความคืบหน้า เนื่องจากรัฐบาลขาดเสถียรภาพ รวมถึงเรื่อง “กลุ่มทุนจีนบริจาคเงิน 3 ล้านบาทให้พรรคพลังประชารัฐ”ด้วย 

ที่ต้องดูกันว่า ฝ่ายค้าน จะขุดเรื่องนี้ไปได้ลึกมากขนาดไหน และขุดแล้วเจออะไรหรือไม่ โดยเฉพาะกับความพยายามจะลากโยงไปให้ถึงพลังประชารัฐ เพื่อดิสเครดิตพลังประชารัฐกลางสภาฯ ในการอภิปรายรอบนี้ ที่เป็นรอบสุดท้ายแล้วในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล แม้จะเป็นแค่อภิปรายทั่วไปไม่ลงมติ แต่ฝ่ายค้านก็คงหวัง “ทิ้งทวนแบบจัดหนัก” เพื่อโชว์ผลงานของพรรคฝ่ายค้านแต่ละพรรคแน่นอน 

กระนั้น ถ้าฝ่ายค้าน อภิปรายแล้ว ทำการบ้านมาไม่ดี ข้อมูลไม่แน่น ก็ไม่แน่ อาจโดนสวนกลับ จนหน้าหงายก็ได้ ต้องรอวัดกัน ถ้าฝ่ายค้านจะเอาจริงในประเด็นนี้หรือไม่ หลังพบว่า ฝ่ายค้าน พยายามจะใช้ช่องทางของกรรมาธิการป.ป.ช.ของสภาฯ มาตรวจสอบขอข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหวังนำมาใช้ในการอภิปรายทั่วไปแบบลงมติ แต่จะได้มากน้อยแค่ไหน รอติดตาม 

สรุปได้ว่า เงินบริจาค 3 ล้านบาทของพลังประชารัฐ หากดูตามหน้าเสื่อที่ปรากฏ ยังไม่น่าจะสร้างความหนักใจให้พลังประชารัฐมากนัก ในเรื่องว่าเสี่ยงจะถึงขั้นโดนยุบพรรค

เว้นแต่จะมีข้อมูลใหม่ ที่ยังไม่ถูกเปิดเผยออกมา และฝ่ายตรวจสอบอย่าง กกต. ได้ข้อมูลอะไรที่ยังไม่เคยเป็นข่าว และคนในพลังประชารัฐเองก็อาจยังไม่รู้ แบบนี้ อาจสร้างความสั่นสะเทือนให้กับพรรคพลังประชารัฐได้

แต่คำถามคือ มันจะมีหรือไม่มี หากไม่มี เรื่องนี้อาจเงียบหายไปในไม่ช้า 

แสดงความเห็น