พปชร.ฮึดสู้ วิ่งไล่กวดพท. เร่งลุยโรดโชว์ ชิงกระแสทั่วไทย  

อยู่เฉยไม่ได้แล้วสำหรับ “พรรคพลังประชารัฐ” เพราะลำพัง แม้จะเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล แต่กระแส-คะแนนนิยมพลังประชารัฐ ที่ผ่านมา ก็ตกเป็นรอง เพื่อไทย อยู่หลายช่วงตัวอยู่แล้ว 

ยิ่งระยะหลัง พลังประชารัฐ ทรงไม่ค่อยดี ขุมกำลังที่เคยทำให้พลังประชารัฐ ได้ส.ส.เป็นอันดับสอง ตอนเลือกตั้งปี 2562 ไม่อยู่กับพรรคพลังประชารัฐหลายคน เช่น กลุ่มธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ออกไปตั้งพรรคเศรษฐกิจไทย -กลุ่มสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ออกไปตั้งสร้างอนาคตไทย  

ส่วนส.ส.พลังประชารัฐตอนนี้ทั้งส.ส.เขตและปาร์ตี้ลิสต์ โดยเฉพาะ ส.ส.เขต เอง ก็ใช่ว่า ถึงตอนใกล้เลือกตั้งขึ้นมา จะอยู่พลังประชารัฐกันครบหมด เพราะมีกระแสข่าวว่า ส.ส.พลังประชารัฐ หลายคนก็กำลังดูอนาคตของพลังประชารัฐ อยู่ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน หากบางกลุ่มบางคนดูแล้ว ทำท่าพรรคจะไปไม่รอด เพราะกระแสพรรคและกระแสนิยม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่กระเตื้อง หากไม่ย้ายโดยยังลงเลือกตั้งใส่เสื้อ พลังประชารัฐ ก็อาจมีสิทธิ์สอบตก และถึงลงแล้วชนะ แต่อาจกลับมาเป็นส.ส.ฝ่ายค้าน โดยมีเพื่อไทยเป็นรัฐบาลแทน ก็อาจทำให้ต้องย้ายพรรค เพราะในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีส.ส.คนไหนอยากเป็นฝ่ายค้าน โดยเฉพาะส.ส.ต่างจังหวัด 

มันเลยทำให้ ส.ส.พลังประชารัฐ เวลานี้ มีข่าวว่าบางคน ก็เริ่มมองความเป็นไปได้ในการย้ายขั้ว-ย้ายพรรคเช่นกัน แต่เป็นการย้ายในลักษณะไม่สวิงขั้วเกินไปนัก คืออาจจะไปภูมิใจไทย ยิ่งหากพลเอกประยุทธ์ ไปต่อไม่ไหว หรือวางมือ ก็เชื่อว่า อาจได้เห็น ปรากฏการณ์เลือดไหลออกในพลังประชารัฐ ตามมา 

เพราะต้องยอมรับว่าหลายพื้นที่ ที่ส.ส.พลังประชารัฐสอบเข้ามาได้ เพราะเกาะกระส บิ๊กตู่ ดังนั้น ถ้าไม่มีบิ๊กตู่ คอยช่วยสร้างกระแสในพื้นที่ ก็มีสิทธิ์ร่วงได้ โดยเฉพาะในพื้นที่เช่น กรุงเทพมหานคร ภาคใต้ เป็นต้น 

ผนวกกับ ในความเป็นจริง ส.ส.-แกนนำพลังประชารัฐ ก็รู้ดีว่า กระแสพลเอกประยุทธ์และกระแสพรรค ช่วงหลัง ตกเป็นรองเพื่อไทยอยู่ บางพื้นที่ไม่ใช่แค่ตกเป็นรองเพื่อไทย แต่ตกเป็นรองกับอีกหลายพรรคเช่น ก้าวไกล ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ทำให้ ส.ส.พรรค ย่อมกังวล หากสถานการณ์ไม่กระเตื้อง โอกาสสอบตกสูง 

ยิ่งช่วงหลัง นับแต่พลังประชารัฐ มีปัญหาหลายเรื่อง เช่นปัญหาความไม่เอกภาพในพรรค จนกลุ่มธรรมนัส ต้องแยกตัวออกไป และพรรคก็แพ้เลือกตั้งซ่อมหลายนัดติดต่อกัน ทั้งที่สงขลา ชุมพร หลักสี่ และสนามเลือกตั้งส.ก.ที่ได้มาแค่สองที่นั่งจากที่ส่งไปห้าสิบคน  จนพรรคเสียศูนย์ไปพอสมควร 

ทำให้บรรยากาศในพรรค ในเรื่องการเตรียมตัวการเลือกตั้ง ช่วงที่ผ่านมา ไม่คึกคักเท่าที่ควร ยิ่งระยะหลัง พอพรรคไม่มีกิจกรรมการเมืองอะไร ในการลงพื้นที่เปิดเวทีปราศรัย จัดอีเวนต์ ขณะที่พรรคอื่นๆ มีการเปิดเวทีปราศรัย แกนนำเดินสายเปิดตัวผู้สมัครส.ส. กันอย่างคึกคัก แต่ของพลังประชารัฐ กลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ มันก็เลยทำให้ ข่าวเรื่องการเตรียมพร้อมเลือกตั้งของพลังประชารัฐ ไม่ค่อยมีปรากฏออกมา จนคนคิดกันไปว่า หรือแกนนำพลังประชารัฐบางกลุ่ม จะอยู่แบบ รอวันแยกย้าย อันเป็นความรู้สึกที่ไม่เป็นผลดีต่อคนในพรรคแน่นอน 

ยิ่งเมื่อล่าสุด ผลสำรวจนิด้าโพล ที่ออกมาเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 มิ.ย.ที่เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง ที่ปรากฏว่า คะแนนนิยมของพลเอกประยุทธ์ ตกลงมาต่อเนื่องจากผลสำรวจรอบแรกเมื่อเดือนมีนาคมของนิด้าโพล โดยหล่นไปอยู่อันดับสี่ ตามหลัง ทั้ง อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร  ชินวัตร ว่าที่แคนดิเดตนายกฯเพื่อไทยและพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล  โดยเฉพาะพบว่า คะแนนนิยม ตามหลัง อุ๊งอิ๊ง แบบโดนทิ้งห่างค่อนข้างมาก 

ขณะเดียวกัน คะแนนนิยม พรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุน ก็ไม่ดี ตามหลัง พรรคเพื่อไทย หลายช่วงตัว คือเพื่อไทยอยู่ที่ 36.36 แต่พลังประชารัฐ คะแนนนิยมอยู่ที่ ร้อยละ 7.00 รวมถึงตามหลัง พรรคก้าวไกล ที่อยู่อันดับสาม คือได้ร้อยละ 17.88  

ทั้งหมดล้วนคือสิ่งที่บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พี่ใหญ่ 3 ป. ก็รู้ดีว่า หากปล่อยให้พรรคพลังประชารัฐ อยู่กันไปแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่คิดอะไรทำสักอย่าง เพื่อสร้างความคึกคักให้กับพลังประชารัฐ ปลุกเร้าขวัญกำลังใจคนในพรรคและแฟนคลับรัฐบาล  โดยเฉพาะการทำพื้นที่ การสร้างกระแสพรรค การเรียกคะแนนพรรคในแต่ละโซน ที่ต้องเริ่มคิกออฟได้ตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าพลังประชารัฐ ไม่ทำอะไรเลย ก็นับถอยหลัง รอวันแพ้เลือกตั้ง 

มันเลยทำให้ เริ่มเห็นการขยับของพลังประชารัฐ แล้วในการรับมือสู้ศึกเลือกตั้ง กับทักษิณ ชินวัตร และเพื่อไทย รวมถึงแม้แต่กับพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเองอย่างภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ ดูได้จากที่ พลเอกประวิตร ขยับ จัดทัพภายในพรรคพลังประชารัฐ อย่างเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นในการแบ่งงานให้กับแกนนำพรรคดูแลพื้นที่ภาคต่างๆ โดยกำหนดโซนพื้นที่ออกมาเป็นรูปธรรมมากขึ้น     เช่น เมืองหลวง กทม. ที่ตอนนี้ พลังประชารัฐ ถือว่ากระแสพรรคตกเป็นรองทั้งเพื่อไทย-ก้าวไกล โดยเฉพาะหลังเกิดกรณี ชัชชาติฟีเวอร์ จนมีการประเมินกันว่า เลือกตั้งรอบหน้า พลังประชารัฐ อาจได้ส.ส.กทม.ไม่ถึง 5-6 คน จากที่เคยได้ 12 คน แต่เมื่อพรรคยังหาขุนพลตัวจริงมาดูแลกทม.ไม่ได้ ท่ามกลางกระแสข่าวว่า พลเอกประวิตร กำลังจะดึง พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง และสกลธี ภัททิยกุล เข้าพลังประชารัฐเพื่อมาเป็นตัวหลักคอยช่วยดูแลพื้นที่กทม. แต่ระหว่างนี้ บิ๊กป้อม ก็ดูแลกทม.แบบห่างๆ ไปพลางก่อน โดยมี นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค มาช่วยอีกแรง 

ส่วนระดับรายภาคพบว่า ภาคกลาง แบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วนคือ ภาคกลางตะวันออกและภาคกลางตะวันตก มีรัฐมนตรี 4 คนรับผิดชอบ ประกอบด้วย สุชาติ ชมกลิ่น ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ อนุชา นาคาศัย ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นกรรมการบริหารพรรค    

ขณะที่ภาคอีสาน ที่เลือกตั้งรอบหน้า จะมีส.ส.เขตเพิ่มขึ้นจาก 116 เป็น 132 คนหรือเพิ่มขึ้นมา 16 คน ซึ่งที่ผ่านมา พลังประชารัฐ ก็ยังมีปัญหาในภาคอีสานที่ยังเจาะไม่ได้ตามเป้าหลายสิบจังหวัด  ข่าวบอกว่า บิ๊กป้อม มอบพื้นที่อีสานใต้ ให้ วิรัช รัตนเศรษฐ ดูแลรับผิดชอบ ขณะที่อีสานเหนือ ให้ อดีตแม่ทัพภาคที่สอง พล.อ.ธัญญา เกียรติสาร สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. คอยดูแลพื้นที่ 

ส่วนภาคเหนือ ที่คนมองกันว่า พลังประชารัฐ น่าจะอ่อนยวบ หลังไม่มีธรรมนัส ข่าวว่า  มอบหมายให้ สันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค กับนิโรธ สุนทรเลขา ส.ส.นครสวรรค์ รับผิดชอบ  

ด้าน ภาคใต้ ที่พลังประชารัฐ ก็หวังไว้ไม่น้อยเพราะพรรคยังเชื่อว่า กระแสพลเอกประยุทธ์ในภาคใต้ ยังดีอยู่ระดับหนึ่ง ตอนนี้  ก็ให้ ขุนพลแถวหน้าของพรรคคือ สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ขยับจากภาคเหนือตอนล่าง สุโขทัย ให้ลงมาช่วยดูแลพื้นที่ภาคใต้ด้วย  เพราะพลเอกประวิตร มองว่า สมศักดิ์ ที่มีตำแหน่งในพรรคเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ เป็นคนมีประสบการณ์ทางการเมืองและการเลือกตั้งสูง และระยะหลังทำงานประสานกับ ส.ส.ภาคใต้ พลังประชารัฐ ได้เป็นอย่างดี 

และเมื่อจัดทัพดังกล่าวแล้ว สิ่งที่พลังประชารัฐจะขยับต่อไปก็คือ การจัดกิจกรรม เพื่อสร้างกระแสในพื้นที่ แบบรายภาคโดยเน้นการสื่อสารผลงานรัฐบาล นโยบายพรรค และแนะนำตัวส.ส.และว่าที่ผู้สมัครส.ส.ระบบเขตในแต่ละภาคโดยให้ทำแบบต่อเนื่อง นับจากนี้อย่างน้อยเดือนละสองครั้ง 

โดยทำแคมเปญแบบโรดโชว์ เพื่อสร้างกระแสให้เกิดขึ้นต่อเนื่อง หลังพลังประชารัฐ เห็นแล้วว่า กลยุทธ์การลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องที่ ทักษิณ วางไว้และทำกับ อุ๊งอิ๊ง ที่สร้างกระแสจากภาคอีสาน ตีโอบเข้ามาในเมืองและโซเชียลมีเดีย ได้ผลพอสมควร     ทำให้ พลังประชารัฐ ก็ต้องจัดกิจกรรมหาเสียงบ้างแล้ว ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่ทีมงานหาเสียงคิดแคมเปญขึ้นมาคือ “พลังประชารัฐ พลังเพื่อชาติไทย” โดยแต่ละเวทีจะให้มีรัฐมนตรีและส.ส.ของพรรค ไปร่วมงานด้วย เบื้องต้นวางไว้ว่าจะทำแบบ 10 เวที 10 ภูมิภาค ซึ่งแต่ละเวที พล.อ.ประวิตรจะไปด้วยตัวเอง 

เวทีแรกก็คือ เวทีที่จังหวัดชลบุรี ที่งานนี้ สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงานและผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ ขอโชว์บารมีแกนนำพรรค  แบบจัดเต็ม โดยจะจัดที่หน้าศาลากลางจังหวัดชลบุรี วันที่ 10 ก.ค.นี้ ที่สุชาติระบุว่า คาดว่าจะมีคนมาร่วมงาน ที่เป็นคนชลบุรี และพื้นที่ใกล้เคียง ไม่ต่ำกว่า 10,000 คน

มองได้ว่า หากเวทีโรดโชว์ครั้งแรกที่ชลบุรี ออกมาแบบ กระหึ่ม คนมากันเพียบ เชื่อว่าคงปลุกความคึกคักให้กับคนพลังประชารัฐและกองเชียร์ ลุงตู่ ตามมา หลังที่ผ่านมา พลังประชารัฐ อยู่กันแบบซึมๆ มานาน 

แสดงความเห็น