นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในประเด็นที่เกี่ยวกับการใช้งบประมาณของกระทรวงกลาโหม ที่พบรายละเอียดว่าพล.อ.ประยุทธ์ใช้อำนาจที่เข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายหลายฉบับ โดยในโครงการจัดซื้อเครื่องบิน GulfstreamG500 มูลค่า 1,350 ล้านบาท ถูกปรับเปลี่ยนไปเป็นโครงการจัดหาเครื่องบินลำเลียง มูลค่า 1,250 ล้านบาท มีส่วนต่าง 100 ล้านบาทและไม่ทราบว่าเงินเข้ากระเป๋าใคร, โครงการจัดซื้อรถยนต์บรรทุก ขนาด 2.5 ตัน จำนวน 169 คัน มูลค่า 921 ล้านบาท ถูกปรับให้เป็นการซ่อมบำรุงรถยนต์อายุ 40 -50 ปี กว่า 400 คัน มูลค่า 518 ล้านบาท ซึ่งตนมองว่าไม่คุ้มค่า เนื่องจากการซ่อมรถยนต์เก่าซึ่งใช้มาตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม ต้องย้ายฝั่งของพวงมาลัย, ทำห้องโดยสารใหม่ และติดแอร์
“ผมเชื่อว่าเหตุผลที่กองทัพต้องการซ่อมเอง เพราะได้ส่วนต่างราคาเครื่องยนต์ M35 ที่คันละ 4 แสนบาท รวม 100 ล้านบาท อย่างไรก็ดีตอนเปลี่ยนโครงการกองทัพชี้แจงถึงการเปลี่ยนโครงการอ้างว่าสถานการณ์โควิด-19 และประเทศเกาหลีเตรียมเลิกผลิตรถ KM250 ในปี 2567 แต่จากการสอบถามผู้เกี่ยวข้องจากประเทศเกาหลียืนยันว่าไม่มีการยกเลิกผลิต เท่ากับกองทัพตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จและอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” นายพิจารณ์ อภิปราย
นายพิจารณ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับค่าซ่อม Unimog นั้นพบว่าเดิมซื้อจากบริษัททาทา มอร์เตอร์ ประเทศอินเดีย มีราคาขายต่อคันอยู่ที่คันละ 2 ล้านบาท แต่มีค่าซ่อม 2 ล้านบาท ทั้งที่อย่างไรก็ดีตนตรวจสอบทีโออาร์พบว่ามีการเอื้อประโยชน์ เนื่องจากมีเงื่อนไขคือ บริษัทที่จะเข้ารับงานต้องถูกเชิญ และ ได้รับการแต่งตั้งให้จำหน่ายชิ้นส่วนรถยนต์สงครามชนิดช่วยรบ ตระกูลเมอร์ซิเดสเบนซ์ ให้ราชการได้
“การโอนเปลี่ยนแปลง Unimog ผิดระเบียบของราชการและนโยบายที่กำหนดค่าซ่อมไม่เกิน 65% ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งโครงการรถบรรทุกนั้น ผิดกฎหมายวินัยการเงินการคลัง ผิดระเบียบกองทัพโกหกทำให้ชาติเสื่อมเสียชื่อเสียง” นายพิจารณ์อภิปราย
นายพิจารณ์ อภิปรายด้วยว่าสำหรับกองทัพอากาศพบโครงการที่ไม่โปร่งใสคือการจัดหาเครื่องบินฝึกนักบินขับไล่ขั้นต้น T-50TH จากประเทศเกาหลี 4 ที่ดำเนินต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2558 – 2567 โดยพบว่าราคาซื้อนั้นแพงขึ้นต่อเนื่อง รวม 23% รวมเป็นมูลค่ากว่า 1,315 ล้านบาท โดยระยะแรกจัดซื้อ 4 ลำ มูลค่า 25.88 ล้านดอลลาห์สหรัฐต่อลำ, ระยะสอง ซื้อ 8 ลำ มูลค่า 29.54 ล้านดอลลาห์ ต่อลำ ถือว่าแพง 14% โดยระยะสองนั้น จัดซื้อในสมัยที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งเป็น รมว.กลาโหม และครั้งล่าสุด ลงนามเมื่อ 30 สิงหาคม จัดซื้อ 2 ลำ ราคาต่อลำ คือ 31.81 ล้านดอลลาห์สหกรัฐ ถือว่า แพงขึ้น 8%
“ของที่ซื้อเหมือนกัน แต่ราคาแพงขึ้นถึง 23% หากซื้อราคาเท่ากับครั้งแรก จะได้เงิน 1,315 ล้านบาท ผมเชื่อว่ากรณีดังกล่าวมีนายหน้า ชื่อขึ้นต้น T ดูแลผลประโยชน์อยู่ เรื่องนี้ผมต้องการให้พล.อ.ประวิตรชี้แจงด้วย” นายพิจารณ์อภิปราย