รมว.ยุติธรรม แถลงยึดทรัพย์โชว์ 2 เดือนกว่าได้ 866 ล้าน พร้อมยึดคดีค้างเก่าอีกกว่า 400 ล้าน เชื่อหากประมวลกฎหมายยาเสพติดใช้ได้จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตำรวจ-สรรพากร พร้อมร่วมมือกวาดล้าง-สกัดเส้นทางการเงิน
ที่กระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร. นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) นายอุทัย สินมา อธิบดีอัยการ สำนักงานคดียาเสพติด พ.ต.อ. อัครพล บุณโยปัษฎัมภ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และนายวีรภัทร ลำปาง นักตรวจสอบภาษีชำนาญการพิเศษ กรมสรรพากร ร่วมกันแถลงรายงานผลการดำเนินงานคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติดระหว่างวันที่ 1 ต.ค.- 15 ธ.ค. 2563
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องที่ผ่านมาในการตรวจยึดสารต้องสงสัยว่าจะเป็นเคตามีน ที่โกดัง อ.บางปะกง เรายอมรับในข้อผิดพลาด คือการขาดองค์ความรู้ ซึ่งเรารู้แล้วว่าจะต้องแก้ไขอย่างไรบ้าง โดยเราได้มีการจัดสัมมนา ถอดรหัสสีม่วงไปแล้ว มีหน่วยงานต่างๆเข้าร่วม ทั้ง UNODC , สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน , กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ , สำนักงานอาหารและยา (อย.) ,กรมโรงงานอุตสาหกรรม , อาจารย์ภาควิชาเคมี จากมหาวิทยาลัยมหิดล และจุฬาลงกรณ์ และกองบัญชาการกองทัพไทย รวมทั้งการได้เจ้าหน้าที่สำนักงานปราบปรามยาเสพติด สหรัฐฯมาร่วมเป็นวิทยากรให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ด้วย ตนยืนยันว่าเราพร้อมเดินหน้าอย่างมั่นคงเพื่อปราบปรามยาเสพติดอย่างชัดเจน โดยมุ่งเน้นไปที่การยึดทรัพย์ตัดวงจรเครือข่ายยาเสพติด แต่อยากให้ทุกท่านได้เข้าใจถึงอุปสรรคต่างๆ ว่าการดำเนินการไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะการจะยึดทรัพย์ต้องใช้กฎหมายหลายฉบับ ทั้ง พ.ร.บ.มาตรการฯ พ.ร.บ.การฟอกเงิน และพ.ร.บ.ภาษี โดยขณะนี้กระทรวงยุติธรรมได้เสนอการแก้ไขประมวลกฎหมายยาเสพติด ที่รวมกฎหมาย 28 ฉบับเป็นฉบับเดียว ซึ่งจะง่ายต่อการใช้งาน
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ข้อมูลการยึดทรัพย์สินคดียาเสพติดระหว่างวันที่ 1 ต.ค.- 15 ธ.ค. 2563 รวมทั้งสิ้น 866.2 ล้านบาท จำแนกเป็น จับกุมและยึดทรัพย์ชั่วคราว 465.5 ล้านบาท อยู่ระหว่างเสนอยึดอาญัติ 240.7 ล้านบาท และกรมสอบสวนคดีพิเศษจับกุมและยึดทรัพย์ได้ 160 ล้านบาท และอีกส่วนหนึ่งจากคดีค้างเก่า กรณีที่ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) วินิจฉัยยึดทรัพย์ 276.5 ล้านบาท ตกกองทุนยาเสพติด 141.7 ล้านบาท บังคับโทษปรับตามวิธีพิจารณายาเสพติด 3.7 ล้านบาท และยึดทรัพย์ตามพ.ร.บ.การฟอกเงิน 55.6 ล้านบาท รวมเป็น 477.5 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดนี้มีความยุ่งยากทางกฎหมายอยู่พอสมควรเพราะใช้กฎหมายหลายฉบับ ดังนั้นหากเราสามารถทำประมวลกฎหมายยาเสพติดได้เสร็จ การทำงานจะง่ายขึ้น ซึ่งขณะนี้ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา ในชั้นของกรรมาธิการ ซึ่งคงต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง
“ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด หากสำเร็จจะทำให้การทำคดียาเสพติดง่ายขึ้น โดยเฉพาะการยึดทรัพย์ตัดวงจรเครือข่าย ซึ่งน่าจะได้มากกว่าเป้าหมายที่เราตั้งไว้ 6,000 ล้านบาทด้วยซ้ำ จากเดิมต้องทำสำนวนหนาเป็นปึกเพราะเกี่ยวโยงกับกฎหมายหลายฉบับ ก็อาจจะเหลือครึ่งเดียว ทำให้เกิดความสะดวกและลดเวลา และที่ผ่านมาหากผู้ต้องหาหลุดคดีอาญาก็ต้องคืนทรัพย์สิน แต่ประมวลกฎหมายใหม่ หากหลุดคดีอาญาเรายังสามารถเดินหน้ายึดทรัพย์ต่อได้ หากเงินที่ยึดนั้นไม่สามารถแจ้งที่มาที่ไปได้ ทั้งหมดนี้เราต้องร่วมกันทำงานแบบบูรณาการในทุกส่วนเพื่อให้การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด” นายสมศักดิ์ กล่าว
ด้าน พล.ต.อ.มนู กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลได้มอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)สอบสวนและดำเนิการปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวด รวมทั้งการดำเนินการยึดทรัพย์สินตัดวงจรเครือข่ายผู้ค้ายาให้เป็นรูปธรรม ซึ่งภายใต้การนำของ พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้ประสานงานร่วมมือกับทุกภาคส่วน มุ่งมั่นในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด รวมทั้งการใช้ พ.ร.บ.มาตรการฯ พ.ร.บ.การฟอกเงินและ พ.ร.บ.ภาษีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ผ่านมาเราทลายเครือข่ายและจับกุมได้เป็นจำนวนมาก เช่น การจับกุมแก๊งบิ๊กไบค์บ้านโป่ง จ.ราชบุรี และล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 15 ธ.ค.มีการจับเคตามีน 300 กิโลกรัมและขยายผลไปจับกุมเฮโรอีนได้อีก 228 กิโลกรัมด้วย ซึ่งทั้งหมดเป็นการทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ส่วนทาง นายวีรภัทร กล่าวว่า กรมสรรพากรได้เข้ามาทำงานบูรณาการร่วมกับทาง ตำรวจ และ ป.ป.ส. โดยใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรการทางภาษี ในการปราบปรามและสืบเส้นทางการเงินของผู้ค้ายา ซึ่งเราถือเป็นตะแกรงที่ละเอียดที่สุด กลั่นกรองเรื่องเงินได้ โดยการรับข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆในการนำมาตรวจสอบภาษีและที่มาของเงิน ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการสกัดกั้นเส้นทางการเงินของผู้ค้ายาได้เป็นอย่างดี