นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงการดูแลผู้ต้องขังในเรือนจำในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ว่า เราได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือน ม.ค. ซึ่งหากมีผู้ต้องขังมาจากต่างประเทศจะต้องดูแลเป็นพิเศษ และคัดกรองว่ามีเชื้อติดมาหรือไม่ ส่วนมาตรการการเข้าเยี่ยมอย่างใกล้ชิดนั้น ได้มีการยกเลิกไปแล้ว แต่ยังมีการเยี่ยมแบบปกติเหมือนเดิม เพราะญาติและผู้ต้องขังจะพูดคุยผ่านโทรศัพท์ รวมถึงญาติที่ไปเยี่ยมต้องใส่หน้ากากอนามัยด้วย จนถึงขณะนี้ยังไม่มีผู้ต้องขังเจ็บป่วย ตนคิดว่าผู้ต้องขังที่อยู่ในพื้นที่ปิดสามารถดูแลได้ง่ายกว่าพี่น้องประชาชนที่เคลื่อนไหวไปมา
ผู้สื่อข่าวถามว่า ผู้ต้องขังมีกำลังสามารถผลิตหน้ากากผ้าที่เป็นหน้ากากทางเลือกได้เท่าไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เราสามารถผลิตได้เดือนละ 1 ล้านชิ้น จาก 78 เรือนจำ ซึ่งเมื่อวันที่16 มี.ค. ตนได้รายงานนายกรัฐมนตรีไปว่าในช่วงเดือนมี.ค.จะสามารถผลิตได้ 1 ล้านชิ้น ส่วนเดือนหน้าหากยังมีความต้องการอยู่ก็จะผลิตไปเรื่อยๆ ซึ่ง ใน1 วันสามารถผลิตได้ 45,000 ชิ้น
เมื่อถามว่า วิกฤตโควิด-19 ทำให้ประชาชนโจมตีการทำงานของรัฐบาลและมีความไม่เชื่อมั่นนั้นจะทำอย่างไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนมองแล้วเป็นเพียงบางช่วงเท่านั้น เช่นในช่วงที่มีการกลับมาของแรงงานไทยผิดกฎหมายจากเกาหลีใต้คนก็วิตกกังวลกัน ในความเป็นจริงเมื่อเดินทางกลับมาแล้วมีคนติดเชื้อจากแรงงานเหล่านี้ไม่มาก เพราะคนเหล่านี้ไปทำงาน ไม่ได้ไปสรวลเสเฮฮาหรือดื่มเที่ยว ส่วนที่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวตามปกติที่เราคิดว่าไม่มีปัญหา แต่สุดท้ายก็พากันไปติด เช่น การเข้าไปดูมวย หรือ กีฬาต่างๆ จึงอย่าไปให้คะแนนสอบได้หรือสอบตก ขอให้มาช่วยกันดีกว่า ส่วนรัฐบาลจะสามารถผ่านวิกฤตต่างๆไปได้หรือไม่ เราก็ต้องทำงานกันหนักๆ
เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านเสนอให้เปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ เพื่อหารือการแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า “สภาฯก็อย่าไปรวมกันเยอะ เดี๋ยวจะติดในสภาฯอีก ไม่รู้ใครเป็นใคร เพลาๆกันไปสักระยะเวลาหนึ่ง ผมคิดว่าถ้าสถานการณ์เบาลงแล้วก็ไม่เป็นอะไร สามารถเปิดได้ แต่ถ้าเปิดวันนี้แล้วมีคน 500 คนอยู่ที่เดียวกันเกรงว่าจะติดต่อกันไปได้“
เมื่อถามว่า แนวทางของพรรคประชารัฐ ไม่เห็นควรให้เปิดตอนนี้ใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า “อย่าเพิ่งไปเปิดเลย ผมก็เป็นส.ส.ด้วย ผมคิดว่ามันน่ากลัว วันหนึ่งเราทำงานเสร็จก็รีบกลับบ้าน ไม่มัวไปดื่ม ไปเที่ยว ไปอะไร มันน่ากลัวบ้านใครบ้านมันดีกว่า”