พท.พร้อมลุยเต็มสูบ “สมศักดิ์”เสริมแกร่ง แลนด์สไลด์

การประกาศนโยบาย “ประเทศไทยต้องเลิกจน ให้ครอบครัวคนไทย มีรายได้ไม่น้อยกว่า 2 หมื่นต่อเดือน” ของอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ที่ประกาศระหว่างการจัดงาน “คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน” ของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันศุกร์ที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ถือว่าเป็นอีกหนึ่งนโยบายไฮไลท์สำคัญของพรรคเพื่อไทย ที่อุ๊งอิ๊ง ว่าที่แคนดิเดตนายกฯเพื่อไทย ประกาศออกมา ที่หลังจากนี้ คงสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา เหมือนกับก่อนหน้านี้ ที่เคยประกาศเรื่องนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน  

ขณะที่ “เศรษฐา ทวีสิน ว่าที่แคนดิเดตนายกฯของเพื่อไทย” ที่ถูกวางตัวให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจของเพื่อไทย ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น แม้จะประกาศนโยบายด้านเศรษฐกิจหลายเรื่อง ซึ่งบางเรื่องก็ถือว่าใหม่พอสมควรเช่น  “กระเป๋าเงินดิจิทัล” (Digital Wallet) ที่จะให้คนไทยมีเงินติดกระเป๋าที่รัฐจะแจกให้ทุกคน โดยให้ใช้จ่ายได้เฉพาะกับร้านค้าชุมชนใกล้ที่พักของตัวเอง รวมถึงนโยบายยกระดับ “พาสปอร์ตไทยไปได้ทั่วโลก” เพื่อให้คนไทยถือพาสปอร์ตไทยก็เข้าได้หลายประเทศทั่วโลกมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องทำวีซ่า โดยเฉพาะประเทศใหญ่ๆ เช่น อังกฤษ ยุโรป จีน เพื่อไทย จึงมีนโยบาย จะทำให้พาสปอร์ตไทยได้รับการยกเว้นวีซ่าในหลายประเทศพาคนไทยเดินทางไปได้ทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม นโยบายในเชิง “การเมือง”ที่น่าสนใจของเพื่อไทย ก็คือ “เปลี่ยนระบบเกณฑ์ทหารเป็นระบบสมัครใจ” ซึ่งว่าไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่ และหากพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนระบบวิธีการเกณฑ์ทหาร พรรคที่โดดเด่นในการนำเสนอเรื่องนี้มาตลอดก็คือ “พรรคก้าวไกล” ที่สู้กับเรื่องทหาร-กองทัพมาตลอด 

การที่ พรรคเพื่อไทย ชูเรื่องดังกล่าว จึงน่าสนใจว่า ทำไม เพื่อไทย ที่เป็นพรรคใหญ่กว่า ก้าวไกลเยอะ แต่กลับเอาเรื่องนี้มานำเสนอเป็นนโยบายหลักของเพื่อไทย จนเหมือนกับตามหลังพรรคก้าวไกล ซึ่งจุดหนึ่งที่คนมองก็คือ อาจเพราะเพื่อไทย ต้องการ “เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่” วัยเกณฑ์ทหารที่แต่ละปีจะมีชายไทยจำนวนมาก ที่อายุย่างเข้า 21 ปี (20 ปีบริบูรณ์) ใน พ.ศ.ใดต้องไปแสดงตนเพื่อเตรียมคัดเลือกเป็นทหารเกณฑ์ 

ซึ่งแน่นอนว่าแม้ระยะหลังจะมีคนสมัครใจเป็นทหารจำนวนมากขึ้น แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่อยากเข้าสู่ระบบดังกล่าว และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นทุกปี อันมีผลต่อคนวัยหนุ่มจำนวนมากที่ไม่อยากเสียเวลาไปกับการเป็นทหารเกณฑ์ และยังมีคนในครอบครัวอีกจำนวนมากเช่นกัน ที่ก็ไม่อยากให้ลูก-หลานเข้าสู่การเกณฑ์ทหาร อีกทั้งแนวคิดเรื่องการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ก็เป็นแนวคิดที่เป็นเทรนด์ของคนรุ่นใหม่จำนวนมากในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา 

แสดงให้เห็นว่า เพื่อไทย เอานโยบายเรื่องนี้มาชูในการหาเสียง เพื่อต้องการเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ดังกล่าวแข่งกับก้าวไกล อีกทั้ง ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่า เป็นพรรคการเมือง ที่พร้อมจะเข้าไปรื้อ-เปลี่ยนแปลงระบบโครงสร้างทหาร-กองทัพ หากมีโอกาส เพื่อให้ภาพความเป็นพรรคประชาธิปไตยเด่นชัดกว่าก้าวไกล นั่นเอง 

จากสภาพโดยรวมทั้งหมด ทั้งเรื่องนโยบายพรรคที่ใช้หาเสียงเลือกตั้ง -การวางตัวผู้สมัครส.ส.ระบบเขต 400 คนทั่วประเทศ ที่หากดูจากตอนนี้ ต้องถือว่า

เพื่อไทย เป็นพรรคการเมืองพรรคแรกที่เปิดตัวผู้สมัครครบหมดทั้ง 400 เขตอย่างเป็นทางการ 

เพราะบางพรรคการเมือง ยังไม่สามารถเคาะได้ครบทั้งหมด บางพรรคก็ยังหาผู้สมัครลงไม่ครบเลยด้วยซ้ำ บางพรรคจะเห็นได้ว่า เปิดได้แค่บางพื้นที่เท่านั้น เช่น ประชาธิปัตย์ ที่เปิดตัว 33 ว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต กทม.ไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา แต่หลายจังหวัด เช่นอีสาน-เหนือ ก็ยังมีปัญหาอยู่ ทำให้ ก็ยังไม่สามารถเปิดตัวผู้สมัครได้ครบ

เช่นเดียวกับพรรคอื่นๆ ทั้งพลังประชารัฐ ภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ ก้าวไกล ก็ยังไม่มีพรรคการเมืองใด เปิดตัวผู้สมัครครบทั้งหมด 

โดยบางพรรค ก็มาป่วนเอาตอนช่วงโค้งสุดท้าย เช่น พลังประชารัฐ เพราะหลัง นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ อดีตส.ส.สุโขทัย ลาออกจาก พรรคพลังประชารัฐ ตามพี่ชาย สมศักดิ์ เทพสุทินไปที่พรรคเพื่อไทย รวมถึง สรวุฒิ เนื่องจำนงค์ อดีตส.ส.ชลบุรี ที่ลาออกจากพรรคพลังประชารัฐมาเพื่อไทยพร้อมกับสมศักดิ์ ก็เลยทำให้ พลังประชารัฐ ต้องหาคนมาลงสมัครส.ส.เขต ที่สุโขทัยและชลบุรี แทนในช่วงเวลากระชั้นชิด 

ทั้งหมดคือปัจจัยที่ทำให้ พรรคเพื่อไทย เห็นชัดว่า เลือกตั้งรอบนี้ มีความพร้อมมากกว่า การเลือกตั้งปี 2562 เยอะมาก 

เพราะได้ทั้งเรื่อง “กติกาเลือกตั้ง”ที่กลับมาใช้บัตรเลือกตั้งสองใบ ที่เคยทำให้เพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลทุกครั้ง และยังมีปัจจัยเรื่อง กระแสนิยมของรัฐบาลและพลเอกประยุทธ์ ไม่แรงเหมือนตอนเลือกตั้งปี 2562 ประชาชนจำนวนไม่น้อยต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอยากได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ หลังบิ๊กตู่อยู่ยาวมาถึงแปดปี  และเมื่อเพื่อไทยขายความสดทางการเมืองทั้ง อุ๊งอิ๊ง แพทองธารและเศรษฐา ทวีสิน ทำให้ประชาชน จำนวนไม่น้อย อยากให้โอกาสพรรคเพื่อไทยเข้าไปเป็นรัฐบาล 

ผสมกับ เพื่อไทยและทักษิณ แม้จะเจอกับปัญหาคนออกจากพรรค เลือดไหลออกไปอยู่ที่ ภูมิใจไทยเสียเยอะ  และบางคนก็แยกออกไปตั้งพรรคเอง คือ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กับไทยสร้างไทย แต่เพื่อไทย ก็ได้อดีตคนไทยรักไทย-เพื่อไทยกลับมาเช่นกัน เช่น กลุ่มชลบุรีของสนธยา คุณปลื้ม -กลุ่มฉะเชิงเทราของสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯ 

โดยเฉพาะ “กลุ่มสมศักดิ์ เทพสุทินและสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ซึ่งครบเครื่องทั้งบุ๋นและบู๊ทางการเมือง อย่าง “สมศักดิ์”ก็เป็นนักการเมืองรุ่นใหญ่ ที่มีประสบการณ์การเมืองการเลือกตั้งโชกโชน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ เล่นการเมืองอ่านการเมืองขาด ไม่เคยเป็นฝ่ายค้าน ทำให้ การที่เพื่อไทยได้สมศักดิ์มาเสริมทีม ตัวสมศักดิ์ ก็สามารถเข้าไปช่วยวางหมากทางการเมือง-การหาเสียง ช่วยพรรคเพื่อไทยได้มากแน่นอน ขณะที่ สุริยะ เอง เรื่องก็มีความพร้อมที่จะสนับสนุนพรรคในการเลือกตั้งได้ ก็ทำให้ เพื่อไทย มีทีมที่แข็งแกร่งขึ้น หลังการเข้ามาของกลุ่มสมศักดิ์ 

อีกทั้งเพื่อไทยยังได้ อดีตส.ส.กทม.จากพรรคอื่นที่มีคะแนนในพื้นที่ค่อนข้างดีอย่าง กานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ จากพลังประชารัฐ และจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์จากก้าวไกล ผนวกกับ เพื่อไทย ในช่วงที่ผ่านมา กับการเป็นฝ่ายค้าน จึงมีเวลาค่อนข้างมาก ทำให้แกนนำพรรคมีเวลาในการเดินสายเปิดเวทีหาเสียงและลงพื้นที่พบประชาชน มาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบัน จนเป็นพรรคการเมืองที่เรียกได้ว่า มีการลงพื้นที่ เปิดเวทีมากกว่าพรรคการเมืองอื่นอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้สร้างกระแสแลนด์สไลด์และกระแสอุ๊งอิ๊งสำเร็จในระดับหนึ่ง 

จึงต้องถือว่า เลือกตั้งรอบนี้ เพื่อไทย ฟูลทีมค่อนข้างมาก เรื่องชนะเลือกตั้งไม่ต้องพูดถึง ยังไง ก็เสียงมาอันดับหนึ่งอยู่แล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่สองเป้าหมายคือ หนึ่ง ต้องชนะแบบแลนด์สไลด์ สามร้อยเสียงขึ้นไป เพื่อจะได้ปิดสวิทช์อำนาจส.ว.ในการโหวตนายกฯ และสอง ต้องลุ้นให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จหลังเลือกตั้งและดันแคนดิเดตนายกฯของเพื่อไทย ให้ได้เป็นนายกฯ ให้ได้ ซึ่งการลุ้นเรื่องที่สอง จะไม่ต้องลุ้นหนักมาก หากสามารถทำข้อแรกได้ คือ “ชนะแลนด์สไลด์”ชั้นต่ำสามร้อยเสียง 

ส่วนจะทำได้หรือไม่ได้ ก็ต้องบอกตามตรง มันคืองานหิน!

แสดงความเห็น