รมว.ยุติธรรม เปิดปฏิบัติการ “ยุทธการพิทักษ์ไทย ยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด” ส่งชุดปฏิบัติการลงพื้นที่ 6 จังหวัด 15 จุดทลาย 7 เครือข่ายยึดแล้วกว่า 15 ล้านรอขยายผลโยงเครือข่ายอื่นต่อ
ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รองผบ.ตร. นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. นายอุทัย สินมา อธิบดีอัยการ สำนักงานคดียาเสพติด ผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ และกรมสรรพากร กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานเสนาธิการทหารบก เปิดปฏิบัติการยุทธการพิทักษ์ไทย ยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด ครั้งที่ 7/2563 โดยร่วมผนึกกำลังเครือข่าย ปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติดในพื้นที่ 15 จุดทั่วประเทศ โดยมีการวีดีโอคอนเฟอเรนซ์รายงานผลปฏิบัติการและการเข้าจับกุมเครือข่ายเป้าหมายจากเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการจากทุกพื้นที่ รวมทั้งตรวจเยี่ยมศูนย์ปฏิบัติการในสำนักงาน ป.ป.ส.ด้วย
นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ว่า การเปิดยุทธการกวาดล้างยาเสพติดในวันนี้เป็นครั้งที่7 ของปี 2563 ซึ่งมีการตรวจค้นพื้นที่ 6 จังหวัด มี 7 เครือข่าย ผู้ต้องสงสัย 14 ราย ซึ่งวันนี้ชุดปฏิบัติการได้ลงพื้นที่ตรวจค้น 15 จุด โดยจังหวัดที่ตรวจค้นมากที่สุดคือ จ.ขอนแก่น มี 7 จุด รองลงมาคือ จ.ปราจีนบุรี 3 จุด ซึ่งได้โยงถึง จ.ฉะเซิงเทรา 1 จุด และยังมีที่ จ.อุบลราชธานี 2 จุด นนทบุรี 1 จุด และที่จ.ชลบุรี 1 จุด ได้ตรวจยึดกัญชาจากพัสดุไปรษณีย์ได้ดำเนินการออกหมายจับนายสตีเว่น คาร์เซนตี้ ซึ่งมีชื่อเป็นผู้รับพัสดุ โดยขณะนี้สามารถออกหมายยึดทรัพย์ทรัพย์สินรวม 15 ล้านบาทเศษแล้ว ซึ่งจะมีการสรุปยอดรวมอีกครั้งหลังจบปฏิบัติการ
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การดำเนินการครั้งนี้เป็นการบูรณาการร่วมกันของหลายหน่วยงาน ทั้ง ป.ป.ส. ตำรวจ กรมสรรพากร และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เพราะ ป.ป.ส.ไม่สามารถทำงานลำพังได้ ต้องร่วมกับตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ เพราะมีเรื่องของกฎหมายอื่นเข้ามาด้วย เช่น กฎหมายภาษี กฎหมายการฟอกเงิน หากคดีไม่สามารถดำเนินการทางอาญาได้ ก็ต้องดูในเรื่องของภาษี และเงินว่าได้มาอย่างไรมีที่มาที่ไปถูกต้องหรือไม่ ดังนั้นทุกฝ่ายต้องช่วยกันทำงานแบบบูรณาการ เพราะการจับเม็ดยาอย่างเดียวทำให้เครือข่ายยาเสพติดล่มสลายไม่ได้ และที่ผ่านมาการบุกจับเม็ดยาเจ้าหน้าที่ต้องเสี่ยงอันตรายมาก แต่การสืบสวนขยายผลมีอันตรายที่น้อยกว่าและได้ผลที่ดีกว่า แต่เราก็ต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพด้วย
“การจับกุมเครือข่ายไม่ได้จบแค่ในวันนี้ แต่เราสามารถสาวลึกลงไปถึงเครือข่ายอื่นๆได้อีกในวันข้างหน้า วันนี้เครือข่ายอาจไม่ใหญ่มากแต่หากปล่อยไว้ก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นเครือข่ายใหญ่ที่น่ากลัว ถือเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ซึ่งเราต้องใช้แนวทางขยายผลยึดทรัพย์เครือข่าย เพื่อให้ดำเนินการปราบปรามยาเสพติดได้โดยเร็ว และการยึดทรัพย์ตัวเลขการยึดควรสมดุลกับการผลิตซึ่งเป้าหมาย 6,000 ล้านบาทถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ นอกจากนี้จะต้องมีกฎหมายที่เป็นเครื่องมือช่วยให้ทำงานง่าย ซึ่งประมวลกฎหมายยาเสพติดอีกไม่นานก็คงจะเรียบร้อย ถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในการทำให้การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีประสิทธิภาพมากขึ้น” นายสมศักดิ์ กล่าว