รมว.ยธ. ยัน รบ.แก้ปัญหาหนี้นอกระบบต่อเนื่อง-เดินหน้าทำร่างกม.ขจัดการเลือกปฏิบัติ


รมว.ยุติธรรม ตอบกระทู้ ยัน รัฐบาลแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ หากเป็นขบวนการใหญ่ส่งเรื่องต่อดีเอสไอ ตั้งเป็นคดีพิเศษ ย้ำ ต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุคือความยากจน ลั่น เดินหน้าจัดทำร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล 

การประชุมวุฒิสภาวันนี้ มีนายศุภชัย สมเจริญ รองประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณากระทู้ถามของสมาชิก 

โดยนายวันชัย สอนศิริ ส.ว. ตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรี เรื่องมาตรการในการจัดการปัญหาการปล่อยเงินกู้หนี้นอกระบบ ที่เจ้าหนี้นอกระบบ มีวิธีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างแอพพลิเคชั่นเข้ามาปล่อยหนี้ และติดตามทวงถามหนี้ ดังนั้น จึงอยากสอบถามไปยังนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมที่เป็นผู้ตอบกระทู้แทนนายกรัฐมนตรีว่า รัฐบาลได้รับทราบถึงสถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบหรือไม่ และรัฐบาลมีมาตรการอย่างไรในการจัดการ

จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชี้แจงว่า ตนได้ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน เช่น สำนักนายกรัฐมนตรี บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง ธนาคารออมสิน ซึ่งก็ได้รับข้อมูลในการแก้ปัญหาที่หลากหลาย แต่ตนมองว่า การแก้ปัญหาของรัฐบาลก่อนๆ ด้วยการคืนโฉนดให้กับประชาชนที่เป็นหนี้ แต่สุดท้ายประชาชนก็ยังเป็นหนี้ หรือเมื่อประชาชนขัดสน ก็นำโฉนดที่ได้คืนไปกู้หนี้ยืมสินที่อื่นอีก จึงกู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด บางกรณีก็เป็นดอกลอย ไม่สามารถใช้เงินต้นได้เลย นับว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เป็นการแก้ปัญหาชั่วคราวเท่านั้น 

นายสมศักดิ์ ยืนยันว่า รัฐบาลรับทราบปัญหาเงินกู้หนี้นอกระบบมาโดยตลอด ซึ่งที่ผ่านมาหากประชาชนมีปัญหาก็สามารถร้องเรียนได้ที่สถานีตำรวจ หรือ ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ โทร 1599 หรือโทร 02-575-3344 เพื่อติดต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ตลอดจน สายด่วน 1359 เพื่อติดต่อศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง รวมทั้งศูนย์ดำรงธรรม สายด่วน 1567 ที่ประชาชนสามารถขอความช่วยเหลือได้ ย้ำว่า รัฐบาลรับทราบปัญหาการกู้เงินนอกระบบผ่านแอพพลิเคชั่น โดยถือเป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้กู้ และดีเอสไออยู่ระหว่างดำเนินการสืบสวนอยู่ตลอดเวลา ยืนยันทำงานกันอย่างเต็มที่

“มาตรการปราบปรามผู้ที่กระทำผิดกฎหมายนั้น รัฐให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหน่วยงานหลักในการปราบปรามหลังจากรับเรื่องราวร้องเรียนของพี่น้องประชาชน แต่หากเป็นขบวนการใหญ่ก็จะมอบหมายให้ดีเอสไอเป็นผู้ดำเนินการ แล้วตั้งเป็นคดีพิเศษ จากนั้นนำมาตรการทางภาษีและการฟอกเงินของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) มาร่วมใช้ในการดำเนินการด้วย เพื่อให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ย้ำว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ สามารถเอาผิดกับคนปล่อยเงินกู้ได้ รวมถึงเป็นข้อหาอังยี่ ซ่องโจร ฟอกเงินด้วย”

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนคำถามว่า จะช่วยเหลืออย่างไร หากลูกหนี้นำหลักประกันไปไว้กับเจ้าหนี้ ซึ่งก็จะดำเนินการในข้อหาดอกเบี้ยเกินอัตราและรัฐช่วยประสานหาแหล่งใหม่ๆ เช่น ธนาคารออมสิน จะแก้ปัญหาเบื้องต้นด้วยการไกล่เกลี่ยเจ้าหนี้และลูกหนี้ ยอมรับว่า การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบค่อนข้างยากและไม่ทั่วถึง ดังนั้น การแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมจะต้องบูรณาการกันหลายกระทรวง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่

นายสมศักดิ์ ยังชี้แจงว่า ตนมองเห็นปัญหาของความยากจนของประชาชนทั้งในเมืองและชนบท โดยเฉพาะคนที่อยู่ในเรือนจำ ที่เคยก่ออาชญากรรมล้วนแล้วแต่มีสาเหตุมาจากความยากจน สุดท้ายกรมราชทัณฑ์ก็ต้องเลี้ยงดู ทั้งนี้ ในสมัยที่เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เคยส่งแรงงานไปทำงานที่ต่างประเทศ ซึ่งหากใครรู้ภาษาอังกฤษหรือภาษาท้องถิ่นนั้นๆ ก็จะได้รับเงินเดือนที่มากขึ้น ดังนั้น ตนจึงริเริ่มให้ผู้ต้องขังได้เรียนภาษาอังกฤษ และคณิตศาสตร์ ซึ่งได้ให้ผู้ต้องขังที่รู้ภาษาต่างชาติเป็นผู้สอนผู้ต้องขังอีกที ดังนั้น การแก้ปัญหาความยากจนไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ต้องมีความเข้าใจ 

จากนั้น นายสมศักดิ์ ได้ตอบกระทู้ของ นายมณเฑียร บุญตัน ส.ว. ที่ตั้งกระทู้ เรื่องความคืบหน้าการจัดทำและเสนอร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล

โดยชี้แจงว่า ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว มีความเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก ดังนั้นการรับฟังความคิดเห็นของกลุ่มเปราะบางจึงต้องใช้เวลาพอสมควร  ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมรับทราบปัญหามาโดยตลอด แม้รัฐบาลที่ผ่านมาได้ออกกฎหมายป้องกันการเลือกปฏิบัติเฉพาะกลุ่มต่างๆ เช่น เด็ก สตรี คนพิการ แต่ปรากฏว่า ยังมีช่องว่างของกฎหมายในการเลือกปฏิบัติในกลุ่มเปราะบางบางประเภท เช่น กลุ่มติดเชื้อเอชไอวี และกลุ่มเพศทางเลือก จึงมีความเห็นร่วมกันว่า ควรจะทำกฎหมายที่เกี่ยวกับการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 21 ซึ่งภาคประชาสังคมได้มายื่นเรื่องเสนอกฎหมายต่อกระทรวงยุติธรรมและสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมได้แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยประชุมไปแล้ว 3 ครั้ง และได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคประชาสังคมให้เข้ามาเสนอแนะปัญหา วัตถุประสงค์ หลักการและเหตุผล ตลอดจนเสนอกฎหมายฉบับภาคประชาชน โดยในการประชุมได้มีการเห็นชอบในหลักการและเห็นควรให้ยกร่างกฏหมายฉบับภาครัฐ ก่อนที่จะแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อยกร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา และดำเนินการยกร่างกฏหมาย โดยมีการจัดการประชุมเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และได้รวบรวมงานวิจัยตลอดจนคำร้องต่างๆ เพื่อประชุมในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า กระทรวงยุติธรรมได้ขอจัดตั้งงบประมาณปี 2564 เพื่อดำเนินการยกร่างกฏหมาย แล้วไปรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศตามกฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 77 ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปีงบประมาณ 2564 ซึ่งหลักการของร่างกฎหมายฉบับนี้ จะกำหนดห้ามมิให้การเลือกปฏิบัติต่อบุคคล ประกอบด้วย เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ภาษา เพศ เพศสภาพ เพศวิถี อายุ  ความพิการ สุขภาพ และการติดเชื้อเอสไอวี ซึ่งจะมีคณะกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติ และอาจมีอนุกรรมการต่างๆขึ้นมาทำหน้าที่ในด้านรายละเอียด เช่น การรับเรื่องร้องทุกข์การแก้ไขปัญหาเรื่องราวร้องทุกข์ด้วย

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในขณะที่ยังไม่มีกฎหมาย แต่หากเกิดสถานการณ์การเลือกปฏิบัติขึ้นจะทำอย่างไร เรื่องนี้ในส่วนของกลุ่มเปราะบางบางกลุ่มนั้นมีกฎหมายที่สามารถใช้ดำเนินการได้แต่สำหรับกรณีที่มีความจำเป็นที่อาจต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมา ก็สามารถดำเนินการได้ แต่อย่างไรก็ตามกระทรวงยุติธรรมไม่ได้นิ่งนอนใจในการเร่งรัดการดำเนินการดังกล่าว แต่การออกกฎหมายฉบับนี้ใช้เวลามากกว่ากฎหมายบางฉบับเพราะเกี่ยวพันกับบุคคลหลายภาคส่วน แต่ย้ำว่ากระทรวงยุติธรรมจะพยายามดำเนินการเร่งรัดตามที่สมาชิกวุฒิสภาสอบถามเข้ามายังรัฐบาล และจะนำข้อสังเกตจากสมาชิกวุฒิสภาไปดำเนินการ ส่วนการบรรจุไปในแผนปฏิรูปนั้น ยังบรรจุไม่ได้ แต่ก็จะดำเนินการการปฏิรูปต่อไป 

ส่วนคำว่าสองมาตรฐานที่สมาชิกวุฒิสภาเอ่ยถึงหลายครั้งนั้น ตนมองว่า ในบางครั้งรัฐบาลได้ดำเนินการแล้ว แต่บางครั้งประชาชนอาจจะไม่เข้าใจ อย่างในกรณีที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ออกจากเรือนจำเพื่อร่วมงานศพของบิดา และเกิดการเปรียบเทียบถึงระบบสองมาตรฐาน เนื่องจากกรมราชทัณฑ์เพิ่งจะมาออกระเบียบเมื่อตอนที่นายณัฐวุฒิจะมาร่วมงานศพของบิดา จึงทำให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นการปฏิบัติสองมาตรฐาน ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้นได้ทำกฎกระทรวงไว้ตั้งแต่ต้นปีแล้ว  ดังนั้น สิ่งเหล่านี้เกิดจากความไม่เข้าใจ และความไม่รู้ทำให้เกิดการวิจารณ์กันยาวนาน 

แสดงความเห็น