สมศักดิ์ ไม่ทราบ รัฐบาลเตรียมดันกฎหมายนิรโทษกรรม ทางการเมือง ปัด ไม่มีสายตรงจากนายกฯ ยัน ดูแลเต็มที่ เด็กหญิง 12 ถูกข่มขืน
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงข่าวถึงกรณีการแต่งตั้งนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการฯ กำหนดแนวทางออกแบบโครงสร้างและการบริหารจัดการนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ เพื่อการแก้ไขและพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง ว่า ใน 1-2 วันนี้ จะมีคำสั่งแต่งตั้งนายสุพจน์ เข้ามาเป็นที่ปรึกษา ให้แก่คณะอนุกรรมการที่กำหนดโครงการฯ ยืนยันว่า ไม่ได้ให้นายสุพจน์ เป็นอนุกรรมการกำหนดโครงการฯ ตามที่ปรากฎเป็นข่าว แต่จะให้มาเป็นที่ปรึกษา เพราะเชื่อมั่นในความสามารถด้านการบริหารและประสบการณ์ที่เคยอยู่ในเรือนจำมา ซึ่งตรงตามหลักการ “คืนคนดีสู่สังคม” ซึ่งการจะแต่งตั้งนายสุพจน์ มาเป็นที่ปรึกษาและการทำโครงการฯ นั้น ก็เพื่อฝึกและจัดหาอาชีพให้ผู้ต้องขัง ที่จะทำให้กลับเข้าสู่สังคมได้อย่างปกติสุข ป้องกันและแก้ปัญหาการกระทำผิดซ้ำได้อีกทางหนึ่ง
นายสมศักดิ์ ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมามีกว่า 35 % ที่ผู้พ้นโทษออกมาแล้ว ต้องกลับเข้าสู่เรือนจำอีก ดังนั้น จึงถือว่าเป็นการให้โอกาส โดยเฉพาะกลุ่มนักโทษชั้นดี ที่ตนเรียกว่า “กลุ่มเทวดาตกสวรรค์” และระดับปานกลาง ที่เรียกว่า “กลุ่มขุนแผนนอนคุก” ส่วนนักโทษชั้นเลว หรือ “เดรัจฉาน” นั้น จะพยายามขังให้นานที่สุดและค่อยๆให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นนักโทษชั้นดี
“ตนตั้งใจและพยายามติดต่อผู้มีความสามารถในด้านต่างๆมาให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโครงการพัฒนาเรือนจำนี้ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญการท่องเที่ยวและปราชญ์ชาวบ้านที่เชี่ยวชาญเรื่องการเกษตรด้วย มั่นใจว่าจะไม่เป็นการทำให้กระทรวงยุติธรรมเสียภาพลักษณ์” นายสมศักดิ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่ารัฐบาล เตรียมดำเนินการออกกฎหมายนิรโทษกรรม คดีที่เกี่ยวข้องทางการเมือง เพื่อต้องการนำประเทศสู่การปรองดอง ทางกระทรวงยุติธรรม ได้รับการประสานมาแล้วหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนตัวยังไม่ทราบ อาจจะเป็นแนวทางของผู้ใหญ่ ซึ่งถ้าหากมีจริง คงจะต้องมีการหารือกัน แต่ตอนนี้ตนยังไม่ทราบเรื่อง
นายสมศักดิ์ ยังกล่าวถึงกระแสข่าวเรื่องการสั่งยุบชุดสืบสวนกองคดีการเงินฯ ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ จากเรื่องที่เข้าไปร่วมจับกุมบ่อนการพนันขนาดใหญ่ในจังหวัดระยอง โดยมีสายตรงจากนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการ ว่า ไม่ได้รับการติดต่อสายตรงใดๆ จากนายกรัฐมนตรี และไม่ได้เป็นผู้สั่งการให้ดีเอสไอ ออกคำสั่งดังกล่าว แต่ทราบว่าเป็นการดำเนินการภายในหลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ให้นโยบายกับ นายแพทย์ไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีดีเอสไอ พิจารณาร่วมกับพันตำรวจโทกรวัชร์ ปานประภากร ว่าที่อธิบดีดีเอสไอ ในการดำเนินการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการสืบสวนสอบสวนให้สอดคล้องกับกฎหมายคดีพิเศษ รวมถึงการทำงานของศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน เช่น ให้มุ่งเน้นเรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมายฟอกเงิน ,คดีที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ,ทรัพยากรทางธรรมชาติ
“การมอบนโยบายดังกล่าว ไม่ใช่คำสั่งบังคับว่า ต้องยุบชุดสืบสวนใด เพราะเป็นอำนาจการตัดสินใจของทางดีเอสไอเอง ส่วนเรื่องการจับกุมบ่อนพนัน เห็นว่าสามารถทำได้หากเป็นเรื่องซึ่งหน้า แต่ต้องไม่ใช่ภารกิจหลักในการทำหน้าที่”
นายสมศักดิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่เด็กหญิงอายุ 12 ปี ถูกเครือญาติข่มขืนนานกว่า 2 ปี ว่า กระทรวงยุติธรรม ได้ให้ความช่วยเหลือเหยื่อรวมถึงพยานเรียบร้อยแล้ว โดยขณะนี้เด็กอยู่ในความดูแลภายใต้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ขณะที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้มีการใช้กฎหมาย พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเด็กและเยาวชน ในการดูแลค่าใช้จ่าย ทั้งการคุ้มครองพยาน ที่มีทั้งหมด 5 คน และหากมีค่าใช้จ่ายในส่วนใดเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากนี้ ทางกระทรวง ก็จะดำเนินการดูแลให้
ส่วนทางคดี ก็ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งหากต้องการให้ทางกระทรวงเข้าไปดำเนินการช่วยเหลือในเรื่องใด ก็จะเข้าไปสนับสนุนอย่างเต็มที่ พร้อมยืนยัน การคุ้มครองพยาน จะมีการคุ้มครองจนกว่าคดีจะสิ้นสุด และนอกจากเงินสนับสนุนดังกล่าวแล้ว ยังมีเงินเยียวยา ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาอีกด้วย