สัมฤทธิ์ เผยลาออก กกบห.หวังเปลี่ยนแปลง ยอมรับ ส.ส.อึดอัดระดมก๊วนเคลื่อนไหว


นายสัมฤทธิ์  แทนทรัพย์
ส.ส.ชัยภูมิ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐว่า ส.ส.พรรคพลังประชารัฐทุกคนค่อนข้างอึดอัดกรณีที่คนในพรรคพลังประชารัฐวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของกลุ่มก๊วนภายในพรรค ซึ่งช่วงตลอด 5 วันที่สภาฯพิจารณา พ.ร.ก.กู้เงิน ก็มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทำให้ ส.ส.ทุกคนอึดอัด เพราะกำลังทำหน้าที่เพื่อประชาชน ขณะเดียวกัน ก็มี ส.ส.อีกกลุ่มหนึ่งออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐมนตรีและกรรมการบริหารพรรค รวมถึงวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะมีการแย่งชิงตำแหน่งต่างๆ ซึ่งตนมองว่า จริงๆแล้วส.ส.ไม่ได้รู้ลึกขนาดนั้น เราก็ทำหน้าที่ของเราไป เรามองว่า เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา ยอมรับว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคใหม่ และคนภายในพรรคพลังประชารัฐก็มาจากหลายกลุ่ม ก็อาจจะมีปัญหากันบ้างในบางเรื่องและบางครั้ง ซึ่งส่วนตัวก็มองว่า ไม่ดี

“ภาพลักษณ์ของพลังประชารัฐเองไม่ดีมาตั้งแต่การแย่งชิงตำแหน่งมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่พอมาเกิดวิกฤตที่ต้องดูแลประชาชนจนสถานการณ์คลี่คลายก็มีเรื่องนี้เข้ามาอีก บางทีผู้ใหญ่เขาก็คุยกันว่า จะหาแนวทางอย่างไรให้ประเทศเราเดินไปในสิ่งที่เหมาะสม แต่บางทีคนที่ใกล้ชิดผู้ใหญ่ของแต่ละกลุ่มก็อยากแสดงบทบาทเพื่อเอาใจ ทำให้สังคมเกิดความสับสน แต่เชื่อว่า อีกไม่นานทุกอย่างจะลงตัว” นายสัมฤทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่า แต่ละกลุ่มในพรรคพลังประชารัฐ มีการวัดพลังกันจริงหรือไม่ นายสัมฤทธิ์ กล่าวว่า ก็ไม่ปฏิเสธ เพราะมีการนัด ส.ส.ให้เข้าไปประชุม ยอมรับว่า ส.ส.ก็อึดอัด เพราะบางคนยังไม่รู้วัตถุประสงค์ที่เชิญไปประชุม แต่ก็พอจะรู้เป็นนัยยะว่า จะเป็นการแสดงพลังกันของผู้ใหญ่บางคน 

ส่วนเรื่องกรรมการบริหารพรรค 18 คน ลาออกจากตำแหน่งแล้วนั้น นายสัมฤทธิ์ เปิดเผยว่า ตนเองก็เป็นกรรมการบริหารพรรคคนหนึ่ง ที่ยื่นใบลาออก พร้อมชี้แจงว่า ปัญหาที่เรื้อรังกันมาตั้งแต่การเลือกตั้งแล้วเสร็จ และจากการที่รัฐมนตรีหลายท่านสมหวังหรือไม่สมหวัง หรือได้ดำรงตำแหน่งที่ไม่ถูกใจตัวเอง ก็ทำให้เป็นปัญหาเรื้อรังมานาน เหมือนแผลที่หลายคนมองว่า น่าจะสมานได้ยาก จึงมีคนมองว่า อาจจะเปลี่ยนใหม่เพื่อให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ส่วนหนึ่งที่ ส.ส.รับรู้ ก็คือ พรรคพลังประชารัฐอาจจะเดินต่อไปไม่ได้ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยผลทางกฎหมายตนก็ยังรักษาการจนกว่าจะมีการเลือกกรรมการพรรคชุดใหม่ในการประชุมใหญ่ของพรรค

เมื่อถามว่า มองว่าการลาออกของกรรมการบริหารพรรค 18 คน เป็นการกดดันเพื่อให้พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ใช่หรือไม่ นายสัมฤทธิ์กล่าวว่า ตามข้อมูลข่าวก็เป็นเช่นนั้น แต่ที่ตนลาออก เพราะเมื่อมีปัญหาหากมีการปรับเปลี่ยนที่ดีขึ้น ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่เสียหาย ดีกว่าจะปล่อยให้คารังคาซัง ส่วนจะเป็นการกดดันหรือไม่ ก็ต้องติดตามข่าวดูว่าจะมีผลอย่างไร

ส่วนในสถานการณ์เช่นนี้ ส.ส.วางตัวอย่างไร นายสัมฤทธิ์ มองว่า ในประเด็นนี้ก็มีพูดกันหลายคนว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่กำหนดทิศทางการทำงาน และหน้าที่ของ ส.ส.คือ ดูว่านโยบายสามารถนำไปดูแลพี่น้องประชาชนได้หรือไม่ หากไม่ไหวก็ค่อยออกมาวิพากษ์วิจารณ์กัน ส่วนตัวนั้นไม่เห็นด้วยกับการที่จะมีกลุ่มก๊วนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อเอาอกเอาใจ แล้วทำให้สังคมสับสน ซึ่งจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่คนจะมองไม่ดี ทั้งที่ สิ่งที่ต้องแก้ปัญหาคือ ผลกระทบที่มาจากสถานการณ์โควิด 

“รัฐมนตรีทุกคนทำงานอย่างทุ่มเทท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 เหนื่อยกันทุกคน การมองว่า ใครจะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมเป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรี ถ้าการวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้ จะทำให้ความศรัทธาต่อพลังประชารัฐและผู้บริหารหมดไป จริงๆแล้วเราเดินมาถูกทาง แต่ปัญหาภายในพรรคเหมือนสะดุดขากันเอง ผู้ใหญ่เขาทะเลาะกัน เดี๋ยวเขาก็ดีกัน เขาทะเลาะกันกี่รูปกี่สมัยแล้วเดี๋ยวเขาก็ดีกัน เพราะฉะนั้น ส.ส.หรือคนใกล้ชิดก็ควรจะนิ่งรอดูอาการก่อน เดี๋ยวสถานการณ์จะไปกันใหญ่ ไม่เช่นนั้น เด็กก็จะมองหน้ากันไม่ติด เพราะผู้ใหญ่เค้าก็ไปกินหูฉลามกันได้ ทั้งนี้ กลุ่มกรรมการบริหารพรรค 18 คนที่ลาออกไม่ได้มีการนัดเจอกินข้าวกันแต่อย่างใด ตนลงพื้นที่ตามปกติ” นายสัมฤทธิ์ กล่าว

แสดงความเห็น