“นิคม” ซัด “สุชาติ” นำเงินประกันสังคมไปปั่นหุ้น ปล่อยปละละเลยให้มีการเก็บส่วยแรงงาน

“นิคม” ซัด “สุชาติ” นำเงินประกันสังคมให้พวกพ้องไปปั่นหุ้น ชี้ ขาดความสามารถบริหารแรงงาน ปล่อยปละละเลยให้มีการเก็บส่วยทั้งแรงงานต่างด้าวและแรงงานไทยไปต่างประเทศ

นายนิคม บุญวิเศษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังปวงชนไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน โดยระบุว่า เมื่อนายสุชาติ ทราบว่า มีรายชื่อถูกอภิปรายก็เริ่มดิ้นและกลัวเหมือนทำอะไรผิดไว้ ซึ่งนายสุชาติ ก็คือ นั่งร้านคนหนึ่งที่ชื่นชมนายกรัฐมนตรีที่สืบทอดอำนาจและอยู่ตรงข้ามประชาชน ขณะเดียวกัน นายสุชาติ ขาดความรู้ความสามารถในการบริหารแรงงาน ปล่อยให้มีการลักลอบเข้าเมืองมาตลอด ปล่อยปละละเลยให้มีการเก็บส่วย และในช่วงโควิด-19 มีการผลักดันแรงงานออกนอกประเทศ และก็นำเข้ามาแบบมีผลประโยชน์มากมาย ที่เรียกว่า การค้าแรงงานเถื่อน แต่รัฐบาลอ้างว่า เป็นการฟื้นฟูประเทศ ทั้งนี้ กลับมีการเก็บส่วยกับแรงงาน โดยเฉพาะชาวเมียนมาที่มีการลักลอบเข้ามา แต่หากจะให้ถูกต้องตามกฎหมายก็ต้องจ่ายให้นายหน้า 

นายนิคม กล่าวอีกว่า ก่อนที่ ครม.จะมีมติให้นำเข้าแรงงาน ได้มีการนำเข้าแรงงานผิดกฎหมาย แต่ไม่มีการกักกันโรค ไม่มีการตรวจโรค ซึ่งเป็นการทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจน ทั้งนี้ เมื่อนำแรงงานเข้ามา ก็นำไปส่งยังบริษัทพรรคพวก ซึ่งรัฐบาลไม่ต้องออกค่าใช้จ่าย แต่บริษัทเป็นคนออกค่าใช้จ่าย 15,000 บาทต่อหัว และเมื่อไม่กักกันก็ทำให้เกิดการระบาดของโรค ยอมรับว่า ผู้ว่าฯในจังหวัดชายแดนรู้สึกอึดอัดอย่างมาก เพราะผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าทำผิดกฎหมาย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ ยังนำแรงงานที่เข้ามาไปส่งยังบริษัทที่ชลบุรี ซึ่งเป็นบริษัทพรรคพวกของรัฐมนตรี พร้อมเก็บค่าหัว ขณะเดียวกัน ยังให้ลูกน้องเป็นคนเก็บค่าหัวแรงงานไทยที่เดินทางไปต่างประเทศคนละ 3,000 บาท ซึ่งอ้างว่า เก็บส่งให้นาย คือ เก็บส่งให้อธิบดีคนหนึ่ง ถามว่า เอาไป 3,000 บาทเพื่ออะไร ทั้งที่ในช่วงวิกฤตคนตกงาน ควรช่วยเหลือแรงงานให้คนสามารถหางานได้ง่าย อย่าไปเก็บเงิน 

นายนิคม ยังอภิปรายอีกว่า ก่อนที่นายสุชาติ จะเป็น ส.ส.นั้น นายสุชาติและคู่สมรส มีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.ในปี 2561 ระบุมีทรัพย์สินรวมกับคู่สมรส 967 ล้านบาท มีหนี้สิน 106 ล้านบาท แต่ปัจจุบันน่าจะมีหลายพันล้านบาท เมื่อตรวจสอบข้อมูลพบว่า บริษัทที่นายสุชาติเป็นเจ้าของ มีการแปรสภาพเป็นบริษัทจำกัด(มหาชน) โดยกรรมการผู้มีอำนาจคือ ภรรยาของนายสุชาติ โดยนายสุชาติถือหุ้น 171 ล้านหุ้น คิดเป็น 28.66% ภรรยาถือหุ้น 130 ล้านหุ้น คิดเป็น 21.57% หลังจากนั้น 11 มี.ค.2565 นายสุชาติมีการโอนหุ้นให้นาย ล. 79 ล้านหุ้น โอนให้นาย ส.12 ล้านหุ้น และอีก 79 ล้านหุ้นให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แต่ที่ไม่ปกติคือ นายสุชาติมีความสนิทสนมกับนาย สอภอ. ซึ่งเป็นนักปั่นหุ้นและนักฟอกเงิน จึงตั้งคำถามว่าทั้งสองมีการเอื้อประโยชน์อย่างไร ขณะเดียวกัน นายสุชาติ ยังนำเงินจากกองทุนประกันสังคมไปซื้อหุ้นช่วยเหลือบริษัทพลังงานของนายสอภอ. ซึ่งปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐีลำดับต้นๆของประเทศไทยจากการปั่นหุ้น กำไรที่ได้ก็เข้ากระเป๋าพวกพ้องใช่หรือไม่ เป็นการช่วยเหลือพวกพ้องใช่หรือไม่ ทั้งที่การนำเงินประกันสังคมไปลงทุนต้องลงทุนในหลักทรัพย์ที่ความมั่นคงสูง แต่นายสุชาติกลับนำเงินไปให้เพื่อนเพื่อปั่นหุ้น 3-4 บริษัทจนร่ำรวย 

นายนิคม ยังเปิดเผยอีกว่า บริษัทลูกของนายสอภอ.ก็กลับมาซื้อหุ้นของบริษัทที่แต่เดิมเป็นของนายสุชาติ ซึ่งมีภรรยาเป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ทั้งนี้ เมื่อดูผลประกอบการของบริษัทดังกล่าว พบว่า ขาดทุนมาโดยตลอด แต่สิ่งที่ประหลาดใจคือ ในเมื่อบริษัทติดลบ แต่หุ้นกลับพุ่งขึ้น จึงมีการสงสัยว่า ปั่นหุ้นหรือไม่ เรื่องนี้ กลต.ควรจะต้องตรวจสอบ และส่วนตัวจะยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบด้วยเช่นกัน

แสดงความเห็น