นายมงคลกิตติ์ สุขสินทรานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยนัดกันลาประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (9 ก.พ.) เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับการพิจารณาขยายสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยกล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหากนายกรัฐมนตรีต้องการอยู่ในตำแหน่งต่อ ก็ต้องยินยอมไปตามความเห็นของฝ่ายการเมือง ส่วนตัวมองว่าเวลานี้พรรคภูมิใจไทยมีเกมต่อรองที่เหนือกว่า นายกฯจำเป็นต้องง้อพรรคภูมิใจไทย แต่ด้วยท่าทีของนายกรัฐมนตรีแล้ว ต่อหน้าก็อาจจะยังแข็งขืนไม่ยอมง้อ ทำตัวเหมือนหัวหน้าคสช.ในอดีต แต่เบื้องหลังอาจจะต้องไปคุกเข่าขอร้อง เพราะเป็นเรื่องที่กระทบกับตัวเองโดยตรง
“ต่อหน้าทำตัวเหมือนราชสีห์ แต่ลับหลังก็เป็นเหมือนหนู ถ้านายกฯอยากเป็นนายกฯแค่วันนี้หรือวันพรุ่งนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องง้อพรรคภูมิใจไทย แต่หากอยากเป็นนานๆก็ต้องไปง้อ” นายมงคลกิตติ์ กล่าว
นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นเรื่องทีใครทีมัน เพราะตอนที่นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคสช.มา 5 ปี ก็กดหัวนักการเมืองจนมุมมาแล้วทุกคน ดังนั้น วันพระไม่ได้มีหนเดียว
เมื่อถามว่า จะชวนพรรคภูมิใจไทยมาร่วมงานฝ่ายค้านด้วยหรือไม่ นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ก็เห็นพรรคภูมิใจไทยจับมืออยู่กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทยในการประชุมสภาฯเมื่อวานนี้ (7 ก.พ.) จึงเป็นเรื่องที่น่าจับตา เพราะสอดคล้องกับการโพสต์ของ ร.อ.ธรรมนัสที่ว่าศัตรูของศัตรูก็คือเพื่อน
นายมงคลกิตติ์ ยังมองว่า ไม่มีความจำเป็นการขยายสัมปทานดังกล่าวนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องเร่งรีบ เพราะที่กำลังพิจารณาอยู่ เป็นการขยายล่วงหน้าถึง 30 ปี แต่ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องมาพิจารณาการขยายสัมปทานด้วยซ้ำ เรื่องนี้จึงควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดใหม่
ส่วนเรื่องภาระหนี้ที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องของกรุงเทพมหานครที่จะต้องดำเนินการ หากกรุงเทพมหานครไม่มีงบประมาณก็ควรยกเลิกงบประมาณที่ไม่จำเป็น เพื่อนำไปชดใช้ภาระหนี้ที่เกิดขึ้น
นายมงคลกิตติ์ ยังกล่าวว่า ส่วนตัวต้องการให้นำรถไฟฟ้ามาอยู่ใต้การบริหารจัดการของกรุงเทพมหานครโดยตรง ไม่จำเป็นต้องให้บริษัทเอกชนเข้ามารับสัมปทาน เพราะการให้เอกชนบริหารจัดการมีช่องว่างที่สามารถเพิ่มราคาจนกระทบกับประชาชนได้ ส่วนตัวเชื่อว่ากรุงเทพมหานครและรัฐบาลสามารถบริหารจัดการเองได้ แต่ปัญหาอยู่ที่รัฐบาลชุดนี้หารายได้ไม่เป็น
