Home News เศรษฐกิจ “พิชัย” ห่วง ...

“พิชัย” ห่วง ราคาน้ำมันจะพุ่งสูง แพงนาน “ประยุทธ์” คุมเงินเฟ้อไม่อยู่ ปชช.เดือดร้อนหนัก

“พิชัย” ห่วง ราคาน้ำมันจะพุ่งสูงและแพงนาน “ประยุทธ์” คุมเงินเฟ้อไม่อยู่ ประชาชนจะเดือดร้อนหนัก ชี้ สมาพันธ์ขนส่งประท้วงสะท้อนเสียงประชาชนทั้งประเทศ แนะ เร่งลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และ คุมราคาสินค้า

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ อดีต  รมว. พลังงาน กล่าวว่า เงินเฟ้อในเดือนมกราคมพุ่งขึ้นถึง 3.23% เป็นไปตามคำเตือนของคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย  และ ยังมีแนวโน้มที่เงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งน่าห่วงว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีจะคุมเงินเฟ้อไม่อยู่ ซึ่งจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนกับภาวะข้าวของแพง หรือ “แพงทั้งแผ่นดิน” ที่จะรุนแรงมากขึ้น โดยสาเหตุเงินเฟ้อ มาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก โดยล่าสุดราคาน้ำมันได้พุ่งไปทะลุ 93$ ต่อบาเรลแล้ว และคงจะทะลุ 100$ ต่อบาเรลในไม่ช้านี้ โดยการคาดหมายราคาน้ำมันของต่างประเทศราคาอาจพุ่งขึ้นถึง 120$-150$ ต่อบาเรลได้ จากสาเหตุความผันผวนและความไม่สงบในประเทศที่ผลิตน้ำมันหลายแห่ง โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง รวมถึงการที่รัสเซียอาจจะบุกยูเครนและได้ส่งทหารรัสเซียกว่า 120,000 คนตรึงอยู่พรมแดนยูเครนแล้ว ซึ่งหากรัสเซียบุกยูเครนจริง คงมีผลทำให้ราคาน้ำมันและราคาก๊าซพุ่งขึ้นอีกมาก และเป็นไปได้สูงที่ราคาน้ำมันจะพุ่งสูงตลอดทั้งปีในปีนี้ ไม่ได้อยู่ในระดับ 63$ -73$ ตามที่รัฐบาลคาดการณ์กันไว้

ดังนั้น ไม่ช้าก็เร็วพลเอกประยุทธ์จะต้องลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลตามที่ผมได้เสนอไว้แต่แรก แต่พลเอกประยุทธ์กลับคิดไม่ได้และพยายามถ่วงเวลา ซึ่งหากลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลแต่แรก ราคาสินค้าก็จะไม่ขึ้นสูงถึงขนาดนี้ โดยล่าสุด  นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว. คลัง ยังคงถ่วงเวลารอให้กองทุนน้ำมันกู้เงินจนเต็มวงเงินก่อนถึงจะลดภาษีสรรพสามิตน่าจะเป็นแนวทางที่ผิด เพราะหากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นไปอีกตามแนวโน้มราคาน้ำมันโลก รัฐบาลยังไงก็ต้องลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และ หากราคาน้ำมันยังขึ้นต่อไม่หยุด พลเอกประยุทธ์จะไม่มีเครื่องมืออื่นในการพยุงราคาน้ำมันอีกแล้ว เนื่องจากกองทุนน้ำมันกู้เงินจนเต็มวงเงินแล้ว ปัญหาก็จะมีมากขึ้นจนพลเอกประยุทธ์หมดปัญญาที่จะแก้ไขได้ ประชาชนจะเดือดร้อนกันอย่างมาก อยากให้พลเอกประยุทธ์ได้เปิดใจรับฟังความเห็นของคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเพราะตั้งแต่แนะนำมาทุกเรื่องยังไม่เคยผิด แต่พลเอกประยุทธ์ดื้อ ไม่มีความรู้ แต่ก็ไม่ยอมรับฟังและไม่ยอมทำ พลเอกประยุทธ์จึงหลงทางและแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้เลยมาตลอด แถมยังมั่วโอนเงินจากกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไป 20,087.42 ล้านบาทแล้วยังไม่ยอมคืนมา และไม่ยอมตอบคำถามนี้ด้วย ทั้งที่เงินนี้เป็นของประชาชนที่เก็บจากการใช้น้ำมันและไม่ใช่ภาษี ซึ่งควรคืนเงินมาช่วยสนับสนุนราคาน้ำมันในช่วงนี้

ดังนั้นการที่สมาพันธ์ขนส่งฯ ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากราคาน้ำมันที่แพง จะออกมาประท้วงรัฐบาลอีกครั้งในวันนี้ หลังจากประท้วงมาหลายครั้งแล้ว จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องและน่าสนับสนุนเพราะรัฐบาลดำเนินการผิดพลาดมาตลอด การที่พลเอกประยุทธ์ไปต่อว่าสมาพันธ์ขนส่งฯ ที่จะออกมาประท้วงว่า “เป็นคนกลุ่มเดียวที่ได้รับผลกระทบหรือ” น่าจะไม่เข้าใจสถานการณ์ ทั้งนี้เพราะคนทั้งประเทศเดือดร้อนกันมาก สมาพันธ์ขนส่งฯจึงออกมาเป็นปากเสียงแทนประชาชนทั้งประเทศ เพราะหากสมาพันธ์ขนส่งฯ ต้องขึ้นราคาค่าขนส่งตามคำท้าทายของนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว. พลังงาน ก็จะยิ่งทำให้ราคาสินค้าต่างๆต้องปรับขึ้นตามไปด้วย จากราคาค่าขนส่งที่แพงขึ้น และราคาน้ำมันยังเป็นต้นทุนการผลิตของสินค้าแทบทุกชนิด หากรัฐบาลบริหารจัดการไม่ได้ ประชาชนจะเดือดร้อนกันอีกมาก และปัญหาน้ำมันแพงและปัญหาเงินเฟ้อจะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ต่ำลงไม่ถึง 4% ตามที่รัฐบาลขายฝันไว้แน่

นอกจากราคาน้ำมันจะแพงขึ้น ซ้ำเติมเงินเฟ้อที่จะเพิ่มขึ้นแล้ว ปัญหาเงินเฟ้อจะทำให้แบงก์ชาติต้องขึ้นดอกเบี้ย ตามทิศทางดอกเบี้ยในต่างประเทศที่กำลังจะเพิ่มขึ้น ซึ่งประเทศไทยก็จะต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม เพื่อป้องกันเงินไหลออก โดยจะยิ่งซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่อยู่แล้วให้แย่หนักขึ้น หนี้เสียจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้เงินเฟ้อในต่างประเทศเกิดจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้น รายได้ของประชาชนของเขาเพิ่มขึ้น จับจ่ายใช้จ่ายกันมากขึ้น แต่ไทยกลับตรงกันข้ามรายได้ของคนไทยกลับลดลง เพราะรัฐบาลไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้ ผลเลยกลายเป็น “แพงทั้งแผ่นดิน และ จนทั้งแผ่นดิน” เพราะรัฐบาลต้องแจกบัตรคนจนเพิ่มขึ้นถึง 20 ล้านคน หรือ เกือบ 1 ใน 3 ของประชากร และน่าห่วงว่าจะมีคนจนเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ถ้าพลเอกประยุทธ์ยังจะบริหารประเทศอยู่

ดังนั้นแนวทางเร่งด่วนที่พลเอกประยุทธ์ต้องรีบดำเนินการคือการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลโดยเร็วที่สุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน อีกทั้งต้องควบคุมราคาสินค้าให้ได้ผล ก่อนที่ประชาชนจะเดือดร้อนกันมากกว่านี้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือการต้องเปลี่ยนผู้นำที่ขาดความรู้ความสามารถ แต่ยังยึดติดในอำนาจ ซึ่งตรงข้ามกับที่พูดไว้เองว่าไม่ยึดติด การที่สภาล่มบ่อยๆเป็นสัญญาณชัดเจนว่าผู้แทนราษฎรไม่เห็นด้วยที่พลเอกประยุทธ์จะอยู่ต่อไปแล้ว ดังนั้นการที่จะต้องให้พลเอกประยุทธ์ออกจากตำแหน่งจึงเป็นความสำคัญสูงสุดเพื่อประเทศไทยจะได้แก้ปัญหาและเดินหน้าต่อไปได้

Exit mobile version