

โดย “ดาบสองคม”
การเมืองไทยวันนี้สะท้อนภาพที่น่าเจ็บใจ พรรคเพื่อไทยที่เคยยืนตระหง่าน กลับกลายเป็นฝ่ายค้าน เปิดทางให้พรรคภูมิใจไทยขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้
ทั้งที่หากวางหมากถูก เกมนี้ไม่ควรพลาด แต่ปัญหากลับอยู่ที่ “คลังสมองรุ่นเก่า” ของพรรค ที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างตำนาน แต่วันนี้กลับกลายเป็นตัวถ่วง
เริ่มที่ ภูมิธรรม เวชยชัย (บิ๊กอ้วน) นักยุทธศาสตร์มือเก๋า ผู้เคยเป็นเสาหลักตั้งแต่ยุคไทยรักไทย จัดขบวนทัพได้เข้มแข็ง แต่เมื่อถึงศึกยุคใหม่ กลายเป็นคนที่อ่านเกมไม่ทัน พลาดตั้งแต่การเจรจาแบ่งเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยที่ควรเป็น “หัวใจของอำนาจ” กลับปล่อยให้ภูมิใจไทยได้ไปครอง
นี่คือ..การส่งกุญแจอำนาจให้คู่แข่งด้วยมือของตัวเอง
ต่อด้วย น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช (หมอมิ้ง) อดีตขุนพลนโยบายผู้ปั้น “30 บาทรักษาทุกโรค” จนกลายเป็นตำนาน นี่คือคนที่มีสมองสร้างแบรนด์พรรค
แต่ปัญหาคือยังใช้เลนส์เก่ามองโลกใหม่ นโยบายที่เคยทำให้เพื่อไทยชนะใจรากหญ้า วันนี้ถูกคู่แข่งก๊อปไปดัดแปลงหมดสิ้น กลายเป็น “ขายของเก่าในตลาดที่คนอยากได้ของใหม่”
ส่วน น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี (หมอเลี๊ยบ) อดีตแม่ทัพเศรษฐกิจ ที่ครั้งหนึ่งถูกยกให้เป็นมือหนึ่งด้านการคลัง มีวิสัยทัศน์ใหญ่โต แต่โลกเศรษฐกิจทุกวันนี้ไม่ได้รอให้ใครเปิดตำราเก่า
นโยบายพรรคเพื่อไทยเลยออกมาในสภาพ “ความฝันที่ไม่สมจริง” จนประชาชนเริ่มตั้งคำถามว่า พรรคยังตอบโจทย์ยุคดิจิทัลหรือไม่
ทั้งสามคนนี้ต่างเก่งจริงในอดีต แต่ความเก่งแบบนั้นกำลังกลายเป็น “ความเก่งที่หมดอายุ” เมื่ออ่านเกมการเมืองใหม่ไม่ทัน ไม่ว่าจะเป็นการต่อรองพรรคร่วม การออกแบบนโยบาย หรือการสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ ผลคือเพื่อไทยเสียรังวัดทุกทาง ทั้งในสภาและในใจประชาชน
เกมนี้จึงไม่ได้แพ้เพราะภูมิใจไทยเก่งกว่า แต่เพราะเพื่อไทยยังปล่อยให้คลังสมองรุ่นเก่าเดินหมากแทนเด็กใหม่ พอเจอการเมืองยุคเร็ว แรง และเล่นนอกตำรา ผลคือพรรคเพื่อไทยพ่ายตั้งแต่ยังไม่ทันลงสนาม
แนวทางแก้เกม หากเพื่อไทยอยากกลับมา พวกเขาต้อง “ปลดระวาง” คลังสมองเก่า ให้เป็นที่ปรึกษาข้างสนาม ไม่ใช่แม่ทัพ และเปิดทางให้คนรุ่นใหม่ในพรรคได้กำหนดยุทธศาสตร์อย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้น การเลือกตั้งครั้งหน้าจะไม่ใช่แค่เพลี่ยงพล้ำ
แต่จะกลายเป็นการสูญเสียตำแหน่งผู้นำทางการเมืองอย่างถาวร!
แสดงความเห็น











