

โดย “ดาบสองคม”
เสียงข้างศาลรัฐธรรมนูญ 6 ต่อ 3 ที่ตัดสินให้ “แพทองธาร ชินวัตร” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือระเบิดที่สั่นสะเทือนกระดานการเมืองทั้งแผ่น รัฐบาลถูกบังคับให้เข้าสู่สถานะรักษาการทันที
กติกาวันนี้เรียบง่ายแต่โหดเหี้ยม นายกฯ คนใหม่ ต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของ ส.ส. ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่จริง นั่นคือ 247 เสียงไม่มีทางลัด ไม่มีวุฒิสภาช่วยเหมือนครั้งก่อน ทุกอย่างคือการเจรจา และใครซื้อใจได้มากกว่าเ
พื่อไทยเดินหมากดัน “ชัยเกษม นิติสิริ” ขึ้นมาเป็นตัวเลือกในบัญชี จุดขายคือความเป็นกลางในสายตาคนทั่วไป แต่จุดอ่อนคือไร้น้ำหนักทางการเมือง ต้องอาศัยเสียงของพรรคร่วม
ตรงกันข้ามกับ อนุทิน ชาญวีรกูล กำลังเดินเกมเร็วราวกับเตรียมแผนไว้ล่วงหน้า ทันทีที่ศาลฟัน “อิ๊ง” พ้นตำแหน่ง เขาออกเดินสายพบหลายพรรค เพื่อรวบเสียง
และที่น่าตกใจกว่าคือ บางพรรคร่วมรัฐบาลเดิมได้ “หักป้ายย้ายขั้ว” ไปเข้ากับเขาแล้ว นี่คือสัญญาณที่ชัดว่า อนุทินไม่ได้เล่นเกมเพื่อรอ แต่เล่นเกมเพื่อชนะ
ความได้เปรียบของอนุทินคือ เขาไม่ต้องขายภาพลักษณ์ ไม่ต้องขายวิสัยทัศน์ ขายเพียงอย่างเดียว ความสามารถในการต่อรอง และทุกฝ่ายก็รู้ดีว่า ใครอยากผ่านประตู 247 ต้องคุยกับเขา
นี่คือเหตุผลที่ทำให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องดิ้นสุดฤทธิ์ เพราะถ้าอนุทินขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้จริง มันไม่ได้จบแค่การเสียเก้าอี้
แต่คือการเปิดฉากอำนาจยุคใหม่ที่ “เพื่อไทย” จะถูกผลักออกจากศูนย์กลางอำนาจ และอาจหมายถึงการสูญพันธุ์ของพรรคเพื่อไทย พรรคที่เคยเป็นเสาหลักของการเมืองไทย
แต่คนอย่าง ทักษิณ จะยอมแพ้ง่ายอย่างนั้นหรือ?
สมรภูมินี้จึงไม่ใช่แค่ศึกธรรมดา แต่คือ การต่อสู้ระหว่างการ “รักษาพื้นที่” ของพรรคเพื่อไทย กับการ “ยึดพื้นที่” ของพรรคภูมิใจไทย
เกมนี้ไม่ใช่ศึกอุดมการณ์ แต่คือ สงครามโต๊ะเจรจา ใครแลกมากกว่า ใครมีเก้าอี้เยอะกว่า และใครรวบได้ถึง 247 ก่อน คนนั้นคือผู้ชนะ ส่วนประชาชนก็ได้แค่ควักภาษีเป็นค่าตั๋วดูละครการเมืองเรื่องเดิม
นี่คือประเทศไทย ที่เลือกนายกฯ ด้วยจำนวนเก้าอี้
ไม่ใช่ด้วยเกียรติ ความรู้ หรือความสามารถ
แสดงความเห็น











