

กระแสข่าวการปรับ ครม. รอบใหม่ที่มีเนื้อหาชวนน้ำลายสอ คือการ ดึงพรรคพลังประชารัฐเข้าร่วมรัฐบาลแทนพรรคภูมิใจไทย แม้จะดูเหมือนแค่ “ข่าวลือปลายซอย” แต่ใครที่ตามข่าวการเมืองไทยมา จะรู้ดีว่า ในซอยการเมืองเนี่ย… ข่าวลือบางทีก็กลายเป็นพาดหัวหน้าหนึ่งในเวลาแค่ข้ามคืน
เบื้องหลังข่าวลือที่ใครบางคนพยายามบอกว่า “ไม่มีอะไรในกอไผ่” แท้จริงอาจมี “งูเห่า” นอนซุ่มรอเลื้อยออกมาครองเก้าอี้
พลังประชารัฐ พรรค 19 เสียงที่เสียงดังกว่าจำนวนจริง
แม้เหลือเพียง 19 เสียงในสภา แต่เสียงกลับแตกดังชัดเจนเป็นสองขั้ว ขั้วหนึ่งอยากเข้าร่วมเพื่อกลับไปนั่งในห้องประชุม ครม. ส่วนอีกขั้วไม่อยาก “ขายหน้า” ไปนั่งร่วมกับอดีตคู่ปรับ
หากสุดท้ายมติพรรคไม่ร่วมรัฐบาล ก็อาจเกิดภาพ “เดจาวู” แบบธรรมนัสโมเดล ที่ ส.ส.บางกลุ่มจะ “ขยับข้าง” เข้าร่วมรัฐบาลแบบเนียนๆ ภายใต้สูตรเก่า พรรคไม่มา แต่คนมา
บิ๊กป้อมยังนิ่ง แต่คำว่า “นิ่ง” ในทางการเมือง แปลว่า “คิดอยู่”
พลเอกประวิตรยังสงวนท่าที บอกเพียงว่า “ยังไม่มีใครติดต่อมา” ซึ่งก็ไม่รู้ว่าแปลตามตัว หรือแปลแบบ “ยังไม่คุยเรื่องตำแหน่ง หรือตำแหน่งไม่ลงตัว เลยยังไม่ตอบ”
เมื่อการเมืองไม่ใช่เรื่องอุดมการณ์ แต่เป็นเกมเปลี่ยนฝั่งแบบมีแต้มต่อ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การสลับตัวผู้เล่นในรัฐบาล แต่คือเกมใหม่ของการต่อรองตำแหน่ง การซ่อมแซมเสียงในสภา และการตอกย้ำว่าการเมืองไทย แม้จะพูดเรื่องประชาชนทุกวัน แต่ท้ายที่สุด เกมจริงที่เล่นกัน คือ เกมเก้าอี้ที่มีไว้ “ใครนั่ง”
ในขณะที่ประชาชนยังรอให้รัฐแก้ปัญหาปากท้อง นักการเมืองกลับง่วนอยู่กับการนับหัว สลับขั้ว และตั้งเงื่อนไขว่า “ถ้าอยากได้เสียง ต้องให้ตำแหน่ง” นี่คือการเมืองไทยเวอร์ชันล่าสุด ที่อุดมการณ์หมดอายุเร็วกว่านมกล่อง แต่สัจธรรมเดิมยังคงอยู่
“ไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร มีแต่ตำแหน่ง ให้ต่อรอง”
แสดงความเห็น
