ภท.ฝันเจาะสนามกทม. “อนุทิน-เสี่ยบี” เจอด่านหิน 

แม้ปัจจุบัน “ภูมิใจไทย” จะมีส.ส.เขต กรุงเทพมหานครอยู่ในพรรคสองคนคือ มณฑล โพธิ์คาย และโชติพิพัฒน์ เตชะโสภณมณี แต่ทั้งสองคน เป็นส.ส.เขต กทม.ที่เข้าสภาฯมาได้ตอนเลือกตั้งปี 2562 ในสีเสื้อ “อนาคตใหม่” และเมื่ออนาคตใหม่โดนยุบพรรค ทั้งสองคน ก็เลือกที่จะเดินเข้าภูมิใจไทย เป็นคนแรกๆ แบบไม่ต้องคิดมากว่าจะมาหรือไม่มาดี หลังหลายคนเลือกที่จะไปต่อกับ “ก้าวไกล” ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่าทั้งสองคน ย้ายพรรคเพราะเป็น “งูเห่า”

ดังนั้น จึงเท่ากับว่า ภูมิใจไทย ยังไม่เคยมีส.ส.กทม.แม้แต่คนเดียวที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ไม่ใช่เข้ามาแบบงูเห่า 

นั่นจึงทำให้ “อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค”และ “ครูใหญ่ เนวิน ชิดชอบ” ที่ต้องการทำให้ ภูมิใจไทย ต้องถึงเวลาเป็น “พรรคใหญ่”ได้แล้ว ไม่ใช่แค่พรรคขนาดกลาง พรรคร่วมรัฐบาล แต่ต้องเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล จึงรู้ดีว่า ด้วยจำนวนส.ส.กทม.ที่มีมากถึง 33 คนในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น หากพรรคได้ส.ส.มาแค่สักขั้นต่ำ 6-8 คน ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว กับการ “ปักธงพรรคในกทม.” 

ยิ่งการเป็นพรรคใหญ่ และหวังเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล ยังไง การมีฐานเสียง-มีส.ส.เขต ที่เป็นส.ส. “เมืองหลวง” มันก็เป็นผลดีต่อพรรคด้วย เพราะง่ายต่อการจัดตั้งฐานเสียง -การจัดตั้งทางการเมือง เวลามีเหตุสำคัญๆทางการเมือง ที่สามารถขนคนมาได้ ทำให้ภาพลักษณ์พรรค ไม่ใช่เป็น “พรรคภูธร” แบบที่ผ่านมา 

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แปลกที่ “อนุทิน-เนวิน” จึงทุ่มไม่อั้น สำหรับการทำให้พรรคภูมิใจไทย ต้องปักธงในกทม.ให้ได้ 

ถึงขั้น ร่ำลือกันในตลาดการเมือง การเลือกตั้งรอบนี้ว่า คนที่จะลงกทม.ในเสื้อภูมิใจไทย อู้ฟู่อย่างมาก ในเรื่องการได้รับการสนับสนุนจากพรรค ในการทำพื้นที่ เพราะพรรคอัดฉีดไม่อั้น โดยเฉพาะ “พวกเกรดเอ” หรือพวกอดีตส.ส.กทม.ที่ย้ายเข้าภูมิใจไทย ทั้งจากพลังประชารัฐ และเพื่อไทย ที่ถึงตอนนี้ประกอบด้วย จากอดีตพลังประชารัฐคือ จักรพันธ์ พรนิมิตร นางสาวพัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ กษิดิ์เดช ชุติมันต์ นางสาวภาดาท์ วรกานนท์ และนางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา และจากเพื่อไทย คือ ประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ 

ที่ข่าวว่า ถึงต่อให้สอบตก ก็อยู่สบายไปหลายปี เรียกได้ว่า ไม่เสียใจที่สอบตก แล้วจะไม่มีรายได้จากการเป็นส.ส. 

อีกทั้งหากภูมิใจไทยได้เป็นรัฐบาล ยังไง ก็น่าจะมีตำแหน่งการเมืองรองรับ เช่น ทีมโฆษกรัฐบาล-ที่ปรึกษา เลขานุการรัฐมนตรี กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี แต่หากสอบได้ และเข้ามาเป็นกลุ่มเป็นก้อน ก็จะมีโควตารัฐมนตรีให้

ยิ่งเมื่อหัวหน้าทีมกทม.ของภูมิใจไทย “เสี่ยบี-พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์  อดีตรมว.ดีอีเอส”ที่เข้ามาเป็นกัปตันทีมกทม.ของภูมิใจไทย ยอมรับเองว่า สามารถลงเลือกตั้งได้ แต่ไม่สามารถเป็นรัฐมนตรีได้เพราะติดปัญหาเรื่องคุณสมบัติ จากคดีกปปส.ที่ถูกศาลอาญาสั่งจำคุกและคดีอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ ก็ทำให้ หากคนในกลุ่มกทม. สามารถนำทีมเข้ามาได้อย่างน้อย 5 คน ก็ต้องมีโควตารัฐมนตรีให้แน่นอน ส่วนจะเป็นใครก็ต้องไปตกลงกันเอง แต่ตอนนี้ ยังไง ก็ลุยเลือกตั้งให้ชนะไว้ก่อน 

เพราะมันก็ไม่ง่าย ที่ภูมิใจไทย จะปักธงในกทม. เนื่องจากเป็นพื้นที่ซึ่งมีการแข่งขันสูง ลำพังแค่เจ้าถิ่นเดิม อย่าง ประชาธิปัตย์ ที่เป็นแชมป์กทม.มาหลายสมัยแต่ตอนเลือกตั้งรอบที่แล้ว ร่วงหมดสูญพันธุ์ ถึงตอนนี้แม้ ประชาธิปัตย์ที่มีฐานเสียง แฟนคลับ การจัดตั้งของพรรคในกทม.ที่ทำต่อเนื่องมาหลายสิบปี แต่พบว่า ประชาธิปัตย์ อาการยังไม่กระเตื้อง ถึงขนาดทำเอาสามแกนนำปชป.ที่รับผิดชอบพื้นที่กทม.ทั้ง องอาจ คล้ามไพบูลย์-ดร. สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์และนางสาววทันยา บุนนาค หรือมาดามเดียร์ ที่ลาออกจากพลังประชารัฐมาเป็น ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง กทม.ของประชาธิปัตย์ 

ข่าวว่า เริ่มมีอาการเครียดไม่น้อย ที่กระแสพรรคปชป.ยังเป็นรองเพื่อไทย-ก้าวไกล ค่อนข้างมาก อีกทั้ง เมื่อ “รวมไทยสร้างชาติ” ได้ลุงตู่ พลเอกประยุทธ์ ที่กระแสนิยมในกทม.ดีระดับหนึ่งมาเป็นตัวชูโรงในการหาเสียง ก็ทำให้ ปชป. ก็อาการหนักไม่ใช่เล่น เพราะเท่ากับมีตัวตัดคะแนนเพิ่มขึ้นจากฝั่งเดียวกัน ทั้ง พลังประชารัฐ -รวมไทยสร้างชาติ-ภูมิใจไทย 

ด้วยเหตุนี้ การที่ ภูมิใจไทย ตั้งเป้าจะปักธงกทม.ให้ได้อย่างน้อย 6-8 ที่นั่ง จึงไม่ใช่เรื่องง่าย

เพราะอย่างที่รอบที่แล้วซึ่งพลังประชารัฐ ได้ส.ส.เขตกทม.ไป 12 เก้าอี้แบบพลิกความคาดหมาย ปัจจัยสำคัญจริงๆ คือ “กระแสลุงตู่”ล้วนๆ ที่หอบเอาส.ส.กทม.พลังประชารัฐเข้าสภาฯมาได้ และหลายเขตที่แพ้ ก็แพ้แบบเฉียดฉิว หลักร้อย-หลักพันกว่าคะแนน ชัยชนะรอบนั้น เครดิตการเมืองจริงๆ จึงเป็นเรื่องกระแสลุงตู่ รวมถึงการที่ ปชป.ประเมินสถานการณ์พลาด ปล่อยให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคเวลานั้น ปล่อยคลิป ประกาศไม่หนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ ผลเลยทำให้ ประชาธิปัตย์สูญพันธุ์ ชัยชนะของพลังประชารัฐในกทม.ครั้งที่แล้ว จึงไม่ใช่เพราะผลงานของ บี-พุทธิพงษ์ ที่คุมกทม.ร่วมกับ ณัฎฐพล ทีปสุวรรณ แต่อย่างใด 

การที่ ภูมิใจไทยได้ บี-พุทธิพงษ์ เข้ามาคุมทัพกทม. จึงไม่ใช่หลักประกันเสมอไปว่า ภูมิใจไทย จะปักธงพรรคในกทม.ได้ 

เพราะต้องแข่งกับทั้งพรรคฝ่ายขั้วรัฐบาลด้วยกันเอง อย่างพลังประชารัฐ ที่แม้กระแสพรรคจะตก และพลเอกประยุทธ์ไม่อยู่แล้ว แต่บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร ก็ต้องสั่งลุยเต็มที่แน่นอน และยังมี รวมไทยสร้างชาติ-ประชาธิปัตย์ ขณะเดียวกันก็ต้องสู้กับ เพื่อไทย-ก้าวไกล รวมถึง พรรคไทยสร้างไทยของคุณหญิงสุดารัตน์ และสร้างอนาคตไทยของดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ยิ่งหากสองพรรคนี้รวมกันได้ ก็ยิ่งทำให้แข็งแรงมากขึ้น ก็คงทำให้ พรรคใหม่ที่จะรวมตัวกัน คงเป็นอีกหนึ่งคู่แข่งสำคัญของภูมิใจไทยในสนามกทม. แน่นอน 

ยิ่ง ภูมิใจไทย ฐานเสียงในกทม.ยิ่งไม่ค่อยมี เพราะเพิ่งเริ่มลงมาเป็นหนึ่งในผู้เล่นเต็มตัว จึงไม่มีฐานเสียงในพื้นที่เช่นกลุ่มสมาชิกสภากรุงเทพมหานครหรือส.ก. ของพรรค ผนวกกับ สนามกทม. รู้กันดีว่าเรื่อง “กระแส” มีส่วนสำคัญว่าใครจะแพ้หรือชนะ ที่วัดกันช่วงโค้งสุดท้าย ที่คาดว่า ภูมิใจไทย อาจจะโดนทดสอบแน่นอน เพื่อทำให้พรรคเสียคะแนนได้ หากเขตไหน คนของภูมิใจไทยมาแรง คู่แข่งก็อาจหยิบยกเอาบางเรื่องมาดิสเครดิต เช่น นโยบายเรื่อง กัญชา ที่ก็ต้องยอมรับว่า คนกทม.จำนวนไม่น้อย ก็ไม่เห็นด้วย 

มันจึงเป็นบททดสอบสำคัญของ “ภูมิใจไทย-อนุทิน-พุทธิพงษ์” ที่จะชูสโลแกนนโยบายการหาเสียงของพรรคในกทม.ที่ว่า “ภูมิใจกรุงเทพฯ 24/7” ที่หมายถึงพรรคจะทำทำงานเพื่อคนกทม. 24 ชม. 7 วัน สำหรับคน กทม.ทุกกลุ่ม 

ที่ต้องดูว่า คนกทม.จะซื้อหรือไม่ซื้อ หากซื้อแล้วเลือก ก็ทำให้ ภูมิใจไทยแจ้งเกิดสำเร็จ แต่หากไม่ซื้อ ไม่เลือก ภูมิใจไทย ก็ม้วนเสื่อ กลับพรรค!

แสดงความเห็น