การเมืองไทยปี 2566 “3ป.”ยังยืนเด่น-เป็นตัวตึง 

การเมืองไทยปี 2566 ทิศทางจะเป็นอย่างไร คือสิ่งที่ประชาชนทั้งประเทศ ต้องการอยากรู้กันมากว่า เข็มทิศการเมืองไทยจะเดินไปทางไหน 

คำตอบพบว่า ภาพใหญ่  ปี 2566 ไฮไลท์สำคัญ ที่รู้ล่วงหน้า ปักหมุดได้โดยไม่ต้องพยากรณ์ว่าจะมีสิ่งนี้เกิดขึ้นแน่ นั่นก็คือ 

จะมีการเลือกตั้งส.ส.เกิดขึ้นแน่นอน ในปี 2566 

เพียงแต่ว่าจะเกิดขึ้นแบบใด เท่านั้นเอง ที่ก็จะมีสองเงื่อนไข คือ

1.เลือกตั้งเพราะสภาฯอยู่ครบเทอมสี่ปี 

ซึ่งหากเป็นแบบนี้ ก็หมายถึงสภาฯชุดนี้ แม้อาจจะมีสภาล่ม เกิดขึ้นบ่อยครั้งอีกในปีหน้า แต่ภาพรวม ก็ยังประคองกันไปแบบนี้ ไปจนถึงกระทั่งถึง 28 ก.พ. 2566 ที่เป็นวันปิดสมัยประชุมสภาฯ แต่จริงๆ อายุของรัฐบาล-สภาฯ จะครบสี่ปี 23 มีนาคม 2566 

โดยหากสภาฯอยู่ครบเทอมสี่ปี นั่นหมายถึง พลเอกประยุทธ์ ไม่ได้ยุบสภาฯ เท่ากับ ก็จะไปเลือกตั้งกัน วันอาทิตย์ที่ 7 พ.ค. 2566 ตามที่กกต.เคยประกาศไทม์ไลน์ไว้ 

2.เลือกตั้งบนเงื่อนไขคือ พลเอกประยุทธ์ ยุบสภาฯ 

ที่มีการคาดหมายกันว่า แม้บิ๊กตู่ อาจต้องการลากยาว เพื่อให้ รวมไทยสร้างชาติ พรรคที่ตัวเองจะไปลงเป็นแคนดิเดตนายกฯ มีความพร้อมในการเลือกตั้งมากสุด เพื่อให้ บรรลุเป้าหมาย อย่างน้อยที่สุด ต้องเป็นพรรคการเมืองที่มีเสียงส.ส.มาอันดับสาม รองจาก เพื่อไทย-ภูมิใจไทย คือให้ได้ส.ส.เข้าสภาฯ ประมาณ 70-80 เสียง 

ซึ่งหากรวมไทยสร้างชาติ ยังไม่พร้อม บิ๊กตู่ ก็ต้องประวิงเวลาไว้ให้นานที่สุด เพื่อรอให้ รวมไทยสร้างชาติ พร้อมจริงๆ ก่อนลงสนามเลือกตั้ง ทั้งเรื่อง ตัวผู้สมัครส.ส. ทั้งระบบเขต-ปาร์ตี้ลิสต์ -นโยบายพรรค รวมถึง “ท่อน้ำเลี้ยง-กระสุนดินดำ-คลังแสงในการเลือกตั้ง”

ที่ข่าวลือกระฉ่อนทางการเมือง หลังบิ๊กตู่ ประกาศเข้ารวมไทยสร้างชาติ ก็ทำให้ “กลุ่มทุนใหญ่” บางราย ที่รู้กันทางการเมืองว่าพร้อมซับพอร์ตพรรคการเมืองที่มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล  หากคุยกันถูกคอ ทุนใหญ่  ก็พร้อมจะให้การสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติทันทีนับแต่นี้ หลังที่ผ่านมา ไม่มีความชัดเจนว่า พลเอกประยุทธ์จะไปที่รวมไทยสร้างชาติหรือไม่ แต่เมื่อนายกฯประกาศแล้วว่ามาแน่ มันก็ทำให้ กลุ่มทุนหลายกลุ่ม พร้อมจะอัดเม็ดเงินมาให้ รวมไทยสร้างชาติแน่นอน  

และพอหลายอย่างในรวมไทยสร้างชาติ พร้อม จนบิ๊กตู่มั่นใจว่า พรรคต้องแจ้งเกิดทางการเมืองได้ ขั้นต่ำอย่างน้อยก็ต้อง 50 เสียง ก็ทำให้ พลเอกประยุทธ์ อาจตัดสินใจ “ยุบสภา” โดยคาดกันว่า หากพลเอกประยุทธ์เลือกทางนี้ ก็อาจยุบเอาช่วงใกล้ๆ 28 ก.พ. ถ้าไปดูดวง ดูหมอแล้วว่า ยุบสภาฯ วันไหน เป็นฤกษ์ดี ทำให้ดวงแข็ง พรรครวมไทยสร้างชาติ เติบโตได้ รับรองได้ พลเอกประยุทธ์ คงยุบสภาฯแน่นอน 

ยิ่งเมื่อไปถึงช่วงกุมภาพันธ์ 2566 คาดได้ว่า กฎหมายเลือกตั้งส.ส.และกฎหมายพรรคการเมือง มีการโปรดเกล้าฯลงมา จนประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว และคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประกาศการแบ่งเขตเลือกตั้งทั้ง 400 เขต ทั่วประเทศออกมาอย่างเป็นทางการ 

ปัจจัยเช่นนี้ มีผลทำให้ พลเอกประยุทธ์ อาจตัดสินใจยุบสภา ในช่วงปลายเทอมใกล้ๆ 28 ก.พ. 2566 

เว้นเสียแต่ พลเอกประยุทธ์ ต้องการให้เกิดการบันทึกไว้ในทางการเมืองว่าเป็นนายกฯที่อยู่ครบเทอมสี่ปี ไม่มีการยุบสภาฯ ก็เป็นไปได้เช่นกัน ที่พลเอกประยุทธ์ ก็อาจไม่ยุบสภา คือ ลากจนครบเทอมสี่ปี จนรวมไทยสร้างชาติ ถึงไม่พร้อมก็ต้องพร้อม  จากนั้นก็ไปเลือกตั้ง 

แต่ไม่ว่าสุดท้าย พลเอกประยุทธ์ จะตัดสินใจอย่างไร ยังไงเสีย ปีหน้า 2566 มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นแน่นอน 

2566 จึงเป็นปีแห่งการเลือกตั้ง 

ที่โหมดการเมือง จะเคลื่อนกันไปเป็นภาพใหญ่ ตั้งแต่ต้นปี ไปจนถึงช่วงฤดูกาลหาเสียงเลือกตั้งกันเลยทีเดียว เพราะเปิดศักราชปี 2566 ปีเถาะ มา หลายพรรคการเมือง จะขยับการเมืองมากขึ้นและแรงขึ้น 

อะไรที่ยังคลุมเครืออยู่ก็จะต้องจบภายในอนาคตอันใกล้ เช่น เรื่อง “แคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย”

ต้องดูกันว่าสุดท้ายแล้ว ทักษิณ ชินวัตร จะดันใครคือแคนดิเดตนายกฯตัวจริง แต่ชั่วโมงนี้ ดูแล้ว หลังกระแส อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ยังแรงไม่มีตก แม้จะมีข่าวว่า ตัวจริง อาจเป็นคนอื่น เช่น เศรษฐา ทวีสิน จากแสนสิริ แต่เชื่อว่า หากถึงเวลาต้องตัดสินใจจริงๆ ยังไง ทักษิณ ก็ต้องการให้คนในครอบครัว สายเลือดเดียวกัน ขึ้นไปมีอำนาจอยู่แล้ว เรื่องอะไรจะมาเหนื่อยฟรี ควักเงินจำนวนมาก เพื่อให้คนอื่น คว้าพุงปลาไปกิน หากเพื่อไทย ชนะเลือกตั้ง ได้จัดตั้งรัฐบาล 

นอกจากนี้ก็ต้องรอติดตามในเรื่องความเคลื่อนไหวการควบรวมพรรคการเมือง ของพรรคเล็ก พรรคตั้งใหม่ทั้งหลาย ที่ยังเจรจากันอยู่ แต่คาดว่า คงจบภายในไม่เกินกลางเดือนมกราคมนี้ 

ขณะที่พรรคเล็กอื่นๆ โดยเฉพาะพรรคที่มีส.ส. 1-5 คน ก็คาดว่า หลายพรรค หากต้องการอยากเล่นการเมืองต่อ ก็คงหนีตาย ดิ้นรนไปเกาะพรรคขนาดกลาง หรือพรรคใหญ่ มากกว่า ที่จะใช้วิธีรวมพรรคเล็กด้วยกันแบบเตี้ยอุ้มค่อม มีแต่กอดคอกันไปตาย 

ซึ่งตอนนี้ หลายพรรคก็อาการโคม่า เช่น “พลังท้องถิ่นไท” ที่มีส.ส.ห้าคน หลัง ชัชวาลล์ คงอุดม ทิ้งพลังท้องถิ่นไท เข้ารวมไทยสร้างชาติ โดยแม้ โกวิทย์ พวงงาม หัวหน้าพรรคอยากทำพรรคต่อ แต่เมื่อ ชัช เตาปูน ไม่อยู่ พรรคก็ส่อไปไม่รอด เพราะไม่มีเงินเข็นพรรคต่อได้ หรือ “พรรครวมพลัง”ของสุเทพ เทือกสุบรรณ และดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่ดูแล้ว คงไม่มีอนาคต เลือกตั้งรอบหน้า มีโอกาสสูญพันธุ์สูง อย่างมากก็อาจได้ส.ส. 1-2 คน 

แต่ก็ไม่แน่ พรรคเหล่านี้ อาจยอมกัดฟัน ลงสู้ศึกเลือกตั้ง วัดกันไปข้าง ส่วนหากล้มเหลว หลังเลือกตั้ง ก็ค่อยว่ากันใหม่ แล้วใช้วิธี ควบรวมกับพรรคอื่นหลังเลือกตั้ง แบบที่ ไพบูลย์ นิติตะวัน ทำมาแล้ว ตอนยุบพรรคประชาชนปฏิรูปไปรวมกับ พลังประชารัฐ จนหลายพรรคทำตาม หลังศาลรัฐธรรมนูญไฟเขียวว่าทำได้ 

ส่วนว่าในปี 2566 ใครจะเป็นเพลย์เมกเกอร์ทางการเมือง ที่จะกำหนดทิศทางการเมืองไทยในปีหน้า แม้บางคนอาจมองว่า คือทักษิณ ชินวัตร ด้วยคาดหมายกันว่า เพื่อไทยน่าจะชนะการเลือกตั้ง และได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จนทำให้ ทักษิณ จะเป็นผู้คุมการเมืองไทย ในปีหน้า ที่ก็ฟังดูมีน้ำหนัก 

ทว่าหากมองในความเป็นจริงแล้ว การเมืองไทยปี 2566 ตั้งแต่ต้นปีไปจนถึงการเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง ยังไงเสีย “กลุ่ม3 ป.” ก็ยังคงเป็น “ผู้เล่นตัวหลัก-เพลย์เมกเกอร์การเมือง-ผู้กำหนดเกม”ตัวจริงอยู่ 

โดยนอกจากว่าในปี2566 บทบาทของ 3 ป. พลเอกประวิตร -พลเอกอนุพงษ์-พลเอกประยุทธ์ นอกจากไม่ได้ลดน้อยลงแล้ว แต่บทบาทจะเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ 

ทั้งในฐานะที่3 ป. ยังกุมอำนาจรัฐ ไปจนถึงการเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งเสร็จ ในฐานะรัฐบาลรักษาการ ที่อาจอยู่ไปถึงกลางปี 2566 เลยก็ได้ หากไม่มีการยุบสภาฯ แล้วเลือกตั้ง 7 พ.ค. 2566 ที่กว่าจะเลือกตั้งเสร็จ -รอให้กกต.รับรองผลการเลือกตั้งส.ส. -กว่าจะเจรจาตั้งรัฐบาลเสร็จ ทั้งหมดก็ใช้เวลาอีกอย่างน้อยสองเดือน ทำให้ 3 ป. ก็ยังอยู่ในอำนาจการเมืองไปจนถึง กลางปีเป็นอย่างต่ำ ที่จุดนี้ ยังไง ก็สามารถใช้อำนาจดังกล่าว ให้เกิดผลทางบวกกับกลุ่ม 3 ป. และพรรคการเมืองของตัวเองได้

นอกจากนี้ การที่ พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกฯ และจะเป็นผู้นำพรรคตัวจริงของรวมไทยสร้างชาติ ที่ก็ยังมีสิทธิ์ลุ้นได้เป็นนายกฯอยู่ หรือการที่ พลเอกประวิตร ก็ยังเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่แม้พลังของพรรคประชารัฐ จะตกลง จากเลือกตั้งปี 2562 เยอะ แต่พลังประชารัฐ ก็จะยังเป็นพรรคตัวแปรสำคัญในการเมืองไทย ทั้งตอนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งโดยเฉพาะการจัดตั้งรัฐบาล ที่ต่อให้ พลังประชารัฐ กระแสตก คนออกจากพรรคจำนวนมาก แต่คาดว่า ยังไง ระดับ 50-60 เสียง ก็ยังพอได้อยู่ 

จึงทำให้  บิ๊กป้อม จะยังมีบทบาทสูง ชนิดเอาพลังประชารัฐ ไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้ทั้งกับขั้วพรรครัฐบาลปัจจุบันหรือสวิงไปจับมือกับเพื่อไทย จัดตั้งรัฐบาลร่วมกันก็ยังได้ 

อีกทั้ง “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ก็ยังคุมเสียงสมาชิกวุฒิสภา ชุดปัจจุบันอยู่ ที่แม้อาจจะมีส.ว.แตกแถวกันบ้าง แต่ยังไง สองคนนี้ ก็ยังคุมเสียงได้ไม่น้อยกว่า 200 เสียงขั้นต่ำ ที่จะสามารถเอาเสียงส.ว. มาเป็นตัวแปรต่อรองการโหวตนายกฯและการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งได้

ไม่นับรวมกับเครือข่ายอื่นๆ ของ 3 ป. ทั้งในวงการเมืองการเมือง-ทหาร-ตำรวจ-เครือข่ายธุรกิจกลุ่มทุนขนาดใหญ่ของประเทศ ที่ยังพร้อมแบ็คอัพกลุ่ม 3 ป.เพื่อให้กลับมามีอำนาจอีกครั้งหลังเลือกตั้ง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆก็ตาม 

ด้วยเหตุนี้ การเมืองไทยปี 2566 จึงเป็นปีแห่งการเลือกตั้ง ที่เพลย์เมกเกอร์การเมือง ระดับตัวตึงที่แท้จริง จึงยังเป็น 3 ป.ที่จะยังมีบทบาทสูงในการเมืองไทยปี 2566 

แสดงความเห็น