ชำแหละทุกเงื่อนไข ปรับครม. ปชป.-ภท. ตัวเต็ง จ้องตาเป็นมัน 

จับกระแส “ปรับคณะรัฐมนตรี” หลังตอนนี้ เก้าอี้รัฐมนตรีว่างอยู่ 3 ตำแหน่งในทางกฎหมาย หลังนิพนธ์ บุญญามณี ลาออกจาก “มท.2-รมช.มหาดไทย” เมื่อ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา 

ขณะที่ก่อนหน้านี้ ก็ว่างอยู่สองเก้าอี้มาร่วมปี นับแต่ พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ปลด ธรรมนัส พรหมเผ่า และ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีเมื่อ 9 ก.ย. 2564 

ผนวกกับแม้ “กนกวรรณ วิลาวัลย์” จะยังเป็นรมช.ศึกษาธิการอยู่ แต่การถูกศาลฎีกา สั่งหยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ในคำร้องคดีฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งกว่าศาลฎีกา จะตัดสินคดี เร็วสุดก็หกเดือน ที่ก็น่าจะช่วงกุมภาพันธ์-มีนาคม 2566 ที่ตอนนั้น อายุสภาฯ ก็จะหมดวาระลงต้องเลือกตั้งใหม่อยู่แล้ว หากไม่ยุบสภาฯก่อน

อันเป็นสิ่งที่ “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย” และส.ส.ในพรรคภูมิใจไทย ไม่ยอมให้โควตารัฐมตรีหายไปเปล่าๆ โดยไม่มีคนของพรรคเข้าไปเสียบแทนแน่นอน เพราะยังไง คนในพรรคภูมิใจไทย ก็มีหลายคนรอลุ้นเก้าอี้รัฐมนตรีอยู่ เช่น ชยุต ภุมมะกาญจนะ ส.ส.ปราจีนบุรี ที่เป็นเต็งหนึ่งในฐานะโควตาปราจีนบุรี แต่ก็ยังมีบางคนพร้อมรอคั่ว เช่น บุญลือ ประเสริฐโสภา ส.ส.ราชบุรี อดีตรมช.ศึกษาธิการ หรือ เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร ส.ส.อยุธยาฯ อดีตรมช.คมนาคม   

หรือแม้แต่กับ ประชาธิปัตย์เอง ขนาดนิพนธ์ ลาออกจาก รมช.มหาดไทยไม่กี่ชั่วโมง “ชิรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช” ก็ออกมาตีกันแล้วว่า เก้าอี้รัฐมนตรีของนิพนธ์ ต้องเป็นของ “โควตาภาคใต้” เข้าทำนอง “ภาคข้า ใครอย่าแตะ”!

อันแสดงให้เห็นแล้วว่า ในประชาธิปัตย์ ก็มีหลายคน ลุ้นขึ้นรถไฟเที่ยวสุดท้าย รอคั่วเก้าอี้รัฐมนตรีอยู่ ผนวกกับ อาจมีบางกลุ่มในพรรคประชาธิปัตย์ ใช้โอกาสนี้ เคลื่อนไหวให้ปรับครม.อีกบางตำแหน่งเพิ่ม ซึ่งทำให้รัฐมนตรีบางคน ก็อาจอยู่ในกลุ่มเสี่ยง จะโดนเคลื่อนไหวเลื่อยขาเก้าอี้ หลังก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวออกมาตลอดว่า มีคนต้องการให้ปรับรัฐมนตรีบางคนออกเพื่อให้คนอื่นเข้าไปเป็นบ้าง เช่น จุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมฯ หรือสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข โดยมีหลายคนพร้อมรอเสียบแทนตลอดเวลา 

เช่นเดียวกับ ในพลังประชารัฐ ส.ส.หลายกลุ่มในพรรค ก็ต้องการจะได้โควตารัฐมตรีที่ว่างอยู่ 2 ตำแหน่งเช่นกัน ทั้งกลุ่มปากน้ำ สมุทรปราการ ของเสี่ยเอ๋ ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม -กลุ่มภาคใต้ ที่มีส.ส.เขตร่วม 14 คนแต่ไม่มีโควตารัฐมนตรีแม้แต่ตำแหน่งเดียว หรือแม้แต่กลุ่มภาค กทม.ที่มีส.ส.เขต 11 เก้าอี้ ก็ไม่มีเช่นกัน 

เพราะยังไง แม้จะเข้าไปเป็นรัฐมนตรีแค่ช่วงสั้นๆ หากสภาฯไม่ยุบก็ร่วม 7 เดือน ผนวกกับ เป็นรัฐมนตรีช่วงรักษาการ ตอนเลือกตั้งไปจนถึงหลังเลือกตั้งก็ร่วมๆ อีก 2-3 เดือน บวกๆแล้วก็เท่ากับร่วมๆ 10 เดือน มีหรือใครจะไม่อยากเป็น เพราะในทางการเมือง เป็นที่รู้กัน ได้เป็นรัฐมนตรีแค่ 7 วัน ก็เป็นเกียรติกับวงศ์ตระกูล มีชื่อในแฟ้มประวัติว่าได้เป็นรัฐมนตรี ดังนั้น หากได้เป็นรัฐมนตรีสัก 10 เดือน ไม่มีใครหรอกที่ไม่อยากเป็น 

ยิ่งเป็นรัฐมนตรีช่วงเลือกตั้ง ยังไง ก็ยังถือว่า”กุมอำนาจรัฐ” มีกลไกรัฐ ทั้งฝ่ายปกครอง-ตำรวจ คอยเกรงอกเกรงใจ และช่วยเหลือได้ตอนเลือกตั้ง มันก็ทำให้ได้เปรียบกว่าคู่แข่งแน่นอน 

ด้วยเหตุนี้ ดูแล้ว ยังไง สองพรรคร่วมรัฐบาล “ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์” รวมถึงกลุ่มก๊วนในพลังประชารัฐ ย่อมเคลื่อนไหวให้มีการปรับครม.แน่นอน 

อีกทั้งยังพบว่า ก็มีกระแสข่าวทำนองว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐและผู้จัดการรัฐบาล อาจจะดึง “กลุ่มธรรมนัส พรหมเผ่า” จากพรรคเศรษฐกิจไทย กลับมาพลังประชารัฐหลัง มีข่าวว่า ธรรมนัส กำลังอ่วมอรทัย กับการทำพรรคเศรษฐกิจไทย ที่ทำมาแล้วหลายเดือน กระแสพรรคไม่มี และคนในพรรค ก็ทยอยตีจากไปอยู่พรรคอื่นอย่างภูมิใจไทย เรื่อยๆ เพราะบางคนมาอยู่กับธรรมนัส ที่เศรษฐกิจไทยแล้ว ไม่ได้รับการดูแลทั้ง “รายเดือน-รายสะดวก” อย่างที่เคยคาดคิด จนมีข่าวว่า ตัวเลขทางบัญชีในพรรค กำลังอยู่ในสภาพ “เงินผืด” เพราะ รายจ่ายกระฉูด แต่เงินสนับสนุนเข้าพรรคแทบไม่มีเข้ามา 

ขณะที่ ธรรมนัส เอง พอไม่ได้เป็นรัฐมนตรีมาร่วมปี บารมีก็หายไปเยอะ ธุรกิจก็ติดขัด ไม่เหมือนตอนเป็นรัฐมนตรี จนมีข่าวชัก ไม่อยากควักเนื้อ ทำพรรคเศรษฐกิจไทยต่อไป หลังดูแล้ว อนาคตพรรคหากลงเลือกตั้ง  เป็นพรรคเล็กต่ำสิบแน่นอน  

จนมีกระแสข่าว บิ๊กป้อม อาจจะดึงกลับมาพลังประชารัฐ และจะให้โควตารัฐมนตรีกับกลุ่มธรรมนัส สองเก้าอี้ ที่ว่างอยู่ แต่มีข่าวว่า พอคนในพลังประชารัฐ ได้ยินกระแสข่าวนี้ ก็ทำให้มีแรงต้านเริ่มเกิดขึ้นแล้ว 

อย่างไรก็ตาม การปรับครม. ที่เป็นอำนาจของนายกฯ และก่อนหน้านี้ ที่คาดกันว่า พลเอกประวิตร อาจจะปรับครม.ในฐานะนายกรักษาการ ล่าสุด พลเอกประวิตร ก็ยืนยันแล้วว่า จะไม่ลักไก่ ปรับครม. โดยจะรอให้ พลเอกประยุทธ์ เป็นผู้ตัดสินใจเพราะตัวเองเป็นแค่นายกรัฐมนตรีรักษาการเท่านั้น 

และเมื่อดูความเป็นไปของ “คดีแปดปี พลเอกประยุทธ์” ในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ ก็ใกล้งวดเข้ามาทุกที จนมีกระแสข่าวว่า อาจจะมีการลงมติตัดสินคดีในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ซึ่ง หากพลเอกประยุทธ์ “รอด” ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ ไม่ต้องหลุดจากเก้าอี้ ก็เชื่อว่า ทั้งพลังประชารัฐ-ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์ คงเคลื่อนไหวปรับครม.เพื่อรักษาโควตาพรรคแน่นอน และถึงตอนนั้น พลเอกประยุทธ์ คงไม่ปรับครม.ไม่ได้ เพราะพรรคร่วมรัฐบาล ต้องการ 

แต่หากเกิดกรณี พลเอกประยุทธ์ ไม่ได้กลับมา ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ และอาจเป็นแค่ รมว.กลาโหม คราวนี้ ก็จะอยู่ที่การตัดสินใจของพลเอกประวิตร แล้วว่าจะเอาอย่างไร เพราะหากพลเอกประยุทธ์ หลุด ก็ต้องเลือกนายกฯคนใหม่ จากที่ประชุมร่วมรัฐสภา ที่หากเลือกนายกฯในบัญชีไม่ได้ ก็ต้องไปเลือกนายกฯคนนอก ซึ่งกระบวนการตรงนี้ ใช้เวลาไม่นาน เพราะยังไง ต้องมีการเรียกประชุมรัฐสภาโดยด่วน ซึ่งช่วงนั้น พลเอกประวิตร ก็จะทำหน้าที่นายกฯรักษาการอยู่ โดยหากเป็นแบบนี้ ก็เป็นแค่รัฐบาลรักษาการสั้นๆ อาจจะสัก 2 เดือนกว่า แต่หาก พลเอกประวิตร จะใช้อำนาจนายกฯรักษาการ “ยุบสภาฯ” เลย หลังพลเอกประยุทธ์ หลุดจากนายกฯ หรืออย่างที่ วิษณุ เครืองาม รองนายกฯเคยบอก หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่า พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกฯต่อไม่ได้ แต่พลเอกประยุทธ์ ก็ยังกลับมาเป็นนายกฯรักษาการได้ เพราะการนับแปดปี ไม่นับการเป็นนายกฯรักษาการ แล้ว เกิดพลเอกประยุทธ์ ยุบสภาฯ เพื่อเป็นรัฐบาลรักษาการ โดยมีภารกิจสำคัญคือเป็นเจ้าภาพประชุมเอเปก ในเดือนพ.ย.ปีนี้ ซึ่งช่วงเวลาการจัดเลือกตั้ง ไปจนถึงการจัดตั้งรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้ง ก็ยังทันช่วงเดือนพ.ย.อยู่ 

อย่างไรก็ตาม หากจะมีการยุบสภาฯ เกิดขึ้น ก็จะมีปัญหาตามมาเช่น จะถูกฝ่ายตรงข้าม บอกว่า ไม่มีความชอบธรรมทางการเมือง เพราะเป็นการยุบสภาฯ โดยที่ไม่ได้เกิดความขัดแย้งระหว่าง ฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ จึงไม่ควรยุบสภาฯ อีกทั้ง หากเป็นรัฐบาลรักษาการตอนเลือกตั้ง แล้วจัดประชุมเอเปก ก็จะทำให้ ผู้นำต่างประเทศ ก็อาจไม่ให้ความสำคัญกับการมาร่วมประชุม โดยเฉพาะผู้นำประเทศสำคัญๆของโลก 

ดูจากปัจจัยเงื่อนไขการเมืองแล้ว “การปรับครม.” ที่ออกมาดูดีที่สุด ลงตัวที่สุด กับทุกฝ่ายทั้งรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล ก็คือ ปรับครม.ในกรณี ที่พลเอกประยุทธ์ ได้ไปต่อ ยังกลับมาเป็นนายกฯได้ต่อหลัง 24 สิงหาคม 2565 แต่หากพลเอกประยุทธ์ ไม่ได้กลับมา แล้วจะปรับครม. ก็จะเห็นได้ว่า ติดขัดหลายเรื่อง โดยเฉพาะเงื่อนไขเวลาการเป็นรัฐบาล-รัฐมนตรี ที่จะสั้นมาก 

พรรคร่วมรัฐบาล และคนที่ลุ้นจะเป็นรัฐมนตรี จึงต้องสวดภาวนา ให้ พลเอกประยุทธ์ รอด ได้กลับมาเป็นนายกฯ เต็มตัวอีกครั้ง จะดีที่สุด เพื่อให้การปรับครม.เกิดขึ้นและลงตัวกับทุกฝ่าย 

แสดงความเห็น