“สมคิด” หลบมุม-โผล่ช้า กระแส “สร้างอนาคตไทย” ไม่กระเตื้อง 

แม้จะเปิดตัวพรรคอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนเมษายนปีนี้   สำหรับ “พรรคสร้างอนาคตไทย” แต่ที่ผ่านมา คนในพรรคที่เป็นระดับแกนนำ เช่น อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค ก็พยายามนำเสนอแนวคิด-นโยบายแก้ปัญหาต่างๆ เช่น เรื่องพลังงาน มาตลอด เพื่อหวังทำให้ประชาชนจดจำและขานรับ พรรคในทางการเมือง 

อย่างไรก็ตาม แกนนำพรรคได้เลือกเอาวันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม ที่ผ่านมาเป็นวันแถลงนโยบาย-แนวทางพรรคครั้งใหญ่ ภายใต้ชื่องาน 

“เปิดยุทธศาสตร์ เราพร้อม เปลี่ยนอนาคตประเทศไทย”

ที่ไปจัดกันที่ โรงภาพยนต์แห่งหนึ่งที่เซ็นทรัลเวิลด์ โดยมีแกนนำร่วมงานคับคั่ง    

ในงานดังกล่าว มีคำประกาศ จาก อุตตม หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทยว่า สร้างอนาคตไทยมีพันธกิจรีเซ็ตประเทศไทย 5 แก้ไข คือ 1.แก้ปัญหาที่สั่งสมเป็นปัญหารุนแรง คือ ฉ้อราษฎร์บังหลวงต้องหยุดทุกระดับ 2.ปราบปรามยาเสพติด 3.สร้างความเท่าเทียมลดการผูกขาด เพิ่มการแข่งขัน 4.ลดขนาดราชการ และ 5.ยกระดับให้เกษตรกรทันสมัย 

นอกจากนี้ จะมี 5 สร้าง คือ 1.สร้างเศรษฐกิจฐานราก 2.สร้างเศรษฐกิจใหม่ 3.สร้างสังคมเกื้อกูล 4.สร้างคนและโครงสร้างพื้นฐานพร้อมก้าวสู่สังคมยุคใหม่ และ 5.สร้างการเมืองที่สร้างสรรค์

ที่น่าสนใจ พรรคสร้างอนาคตไทยประกาศ นโยบาย “กองทุนสร้างอนาคตประเทศไทย วงเงิน 3 แสนล้านบาท” ซึ่งไม่ใช่เงินกู้ ไม่เป็นภาระ โดยแบ่งเป็นจำนวนแสนล้านบาทเพื่อปลดแอกหนี้สินให้คนตัวเล็ก พักชำระเงินต้น และดอกเบี้ย เสริมทักษะอาชีพ และเติมทุนใหม่ ผ่านกลไกรัฐที่มีมาตรการกำกับที่เหมาะสม เช่น สร้างระบบจัดทุนใหม่ให้คนรายเล็ก ใช้นอนแบงก์ และอีกจำนวน สองแสนล้านบาทเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก สร้างเศรษฐกิจใหม่ สู่อนาคตประเทศแห่งที่เท่าเทียมและยั่งยืน

กระนั้นก็ตาม พบว่า กระแสตอบรับหลังการแถลงข่าว

“กลับไม่แรง ไม่เป็นที่ถูกพูดถึงมากนัก”! 

ทั้งที่ดีกรีของ อุตตม สาวนายน เป็นถึงอดีตรมว.คลัง -อดีตรมว.อุตสาหกรรม หรือสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ที่เป็น อดีตรมว.พาณิชย์ และอดีตรมว.พลังงาน 

สิ่งที่เกิดขึ้น อาจเพราะว่ากันตามจริง นโยบายที่พรรคสร้างอนาคตไทยแถลงข้างต้น ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ เป็นเรื่องที่ทุกพรรคการเมือง ก็พูดกันจนช้ำไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเรื่อง แก้ปัญหาคอรัปชั่น -ปราบปรามยาเสพติด-ลดการผูกขาด เพิ่มการแข่งขัน -ลดขนาดราชการ -ยกระดับให้เกษตรกรทันสมัย ส่วนเรื่อง “กองทุนสร้างอนาคตประเทศไทย วงเงิน 3 แสนล้านบาท” หลายพรรคก็พูดกันมานานแล้วเช่นกัน กับการให้มีกองทุนขึ้นมากองทุนหนึ่งเพื่อนำไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ 

แม้แต่กับพรรคตั้งใหม่ด้วยกันเองอย่าง ไทยสร้างไทยของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หรือขนาดพรรคของธรรมนัส พรหมเผ่า คือเศรษฐกิจไทย ก็ยังมีนโยบายตัวนี้ และลงรายละเอียดมากกว่าด้วยซ้ำ เช่น การอัดฉีดเม็ดเงินผ่านชุมชน-องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เสนอโครงการขึ้นมาผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการ ฯ 

ด้วยความ “ไม่มีของใหม่-นโยบายเดิมๆซ้ำๆ” เลยทำให้ การแถลงข่าวของพรรคเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่แกนนำพรรคคงหวังจะเป็นการสร้างกระแสพรรคที่สำคัญ จนเลือกไทม์มิ่งดังกล่าว สุดท้าย ก็เป็นแค่ข่าวการเมืองธรรมดา ที่ไม่ได้เรียกเสียงฮือฮาเท่าใดนัก 

จึงถือเป็นการบ้านสำคัญของ “อุตตม-สนธิรัตน์” สองคีย์แมนพรรคว่า ในช่วงเวลาที่เหลือ หากไม่มีการยุบสภาฯเกิดขึ้น พรรคจะทำอย่างไรให้คนจดจำชื่อพรรค นโยบายพรรคได้ เพราะทุกวันนี้ คนก็ยังจำชื่อพรรคไม่ค่อยได้ และจำผิดจำถูกกับพรรคไทยสร้างไทยของเจ๊หน่อยกันจำนวนมาก ยิ่งเมื่อถึงตอนนี้ เริ่มเห็นชัดว่า บรรดานักการเมืองระดับบิ๊กๆ ที่เคยมีข่าวว่าจะมาร่วมงานกับพรรคสร้างอนาคตไทย ดูไปแล้ว น่าจะมีไม่มาก หรืออาจไม่มีอีกแล้ว เพราะตอนนี้ ก็เริ่มมีทางเลือกใหม่ๆ เกิดขึ้นที่ทำให้คนที่เคยคิดจะไปอยู่กับ สร้างอนาคตไทย ก็อาจเปลี่ยนใจไปพรรคอื่น เช่น รวมไทยสร้างชาติ ของพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ข่าวว่า “ทุนหนา” ระดับหนึ่ง หรือไม่ก็ไปพรรคอื่น 

เห็นได้จากกรณี มาดามเดียร์ นางสาววทันยา บุนนาค ที่ลาออกจากส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ เดิมทีก็มีข่าวมาตลอดว่า จะไปอยู่กับสร้างอนาคตไทย เพราะมีสายสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มอุตตม-สนธิรัตน์ แต่ข่าวว่า ตอนนี้ มาดามเดียร์ เริ่มเปลี่ยนใจจะไปอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะมีเงื่อนไขการเข้าพรรคที่ดีกว่า รวมถึงได้รับการการันตีว่าจะได้อยู่ในบัญชีปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 12 ของประชาธิปัตย์ตอนเลือกตั้ง เลยทำให้ น่าจะเปลี่ยนไปเข้าประชาธิปัตย์แทนพรรคสร้างอนาคตไทย รวมถึงอีกหลายคน ที่เดิมมีข่าวจะไปพรรคสร้างอนาคตไทย ก็มีเปลี่ยนใจหลายคนเช่นกัน เพราะมีเงื่อนไขจากพรรคอื่นที่ดีกว่าเช่น ภูมิใจไทย เป็นต้น 

ขณะเดียวกัน กติกาเลือกตั้งแบบบัตรสองใบ และหาร 100 ปาร์ตี้ลิสต์ หากออกมาตามนี้ ก็ยิ่งทำให้ พรรคสร้างอนาคตไทย อาจเจอความยากลำบากในการชิงคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ ที่ต้องได้ระดับ 360,000-370,000 ต่อหนึ่งเก้าอี้ส.ส. ที่อาจทำให้พรรคได้เก้าอี้ปาร์ตี้ลิสต์ไม่มากอย่างที่เคยคาดการณ์ไว้ ขณะที่การหวังส.ส.เขต ก็ต้องสู้กับคู่แข่งหลายพรรค ที่ก็ไม่ง่าย ที่สร้างอนาคตไทยจะเข้าไปเบียดแย่งมาได้ หากตัวผู้สมัครไม่แข็งจริง 

จึงทำให้ ตอนนี้ ต้องถือว่า สถานการณ์ของพรรคสร้างอนาคตไทย ทั้ง กระแสพรรคและอนาคตพรรค  ณ ปัจจุบัน  กับตอนช่วงเปิดตัวใหม่ๆ เห็นชัดว่า ร่วงลงไปพอสมควร แต่ก็ถือว่ายังพอมีเวลาที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้ 

โดยหนึ่งในท่าไม้ตาย หรือไพ่ใบสำคัญที่พรรคสร้างอนาคตไทย ถือไว้ ก็คงไม่พ้นการดัน “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ” ผู้ร่วมจัดตั้งพรรคสร้างอนาคตไทยคนสำคัญ ออกมาเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคเต็มตัว ที่แกนนำพรรคคงหวังว่า เมื่อ สมคิด ออกมายืนอยู่หน้าเวที และนำทีมพรรค ลงสู้ศึกเลือกตั้งเต็มตัว คงทำให้กระแสพรรค กระเตื้องขึ้นบ้าง 

เพราะที่ผ่านมา เวลามีการทำโพลของสำนักต่างๆ ที่สำรวจเรื่องความคิดเห็นของประชาชนต่อแคนดิเดตนายกฯ รวมถึงถามความเห็นประชาชนว่าจะเลือกพรรคไหนในการเลือกตั้ง การที่ ชื่อของ “สมคิด” ไม่ติดอันดับต้น ๆหรือบางโพลก็ไม่มีเลย คนในพรรคก็อาจมองว่าเป็นเพราะพรรคยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ เพราะรอให้ถึงช่วงเลือกตั้งก่อน ก็ยังทัน แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากสมคิดและสร้างอนาคตไทย เปิดช้าไป ก็อาจไม่เป็นผลดีเช่นกันในการเร่งสร้างกระแสพรรคและชื่อพรรคให้คนจดจำได้ เพราะอย่างตอนนี้ หลังเพื่อไทย ดัน อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ออกมาได้หลายเดือน ผลโพลทุกสำนัก ชื่ออุ๊งอิ๊ง ก็ติดอันดับ ไม่อันดับหนึ่งก็อันดับสองตลอด แสดงให้เห็นว่า การเปิดตัวเร็ว ก็เป็นผลดีไม่ใช่น้อย

จุดนี้ สมคิดและสร้างอนาคตไทย ก็ต้องคิดให้หนักในการจะดัน สมคิด ออกมาเต็มตัว เพราะต้องไม่ลืมว่า ที่ผ่านมา คนก็ยังมองว่า “ทีมสมคิด” สมัยอยู่ร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนักในการทำงานด้านเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งที่คุมทีมเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลประยุทธ์ถึงสองช่วงรัฐบาลติดต่อกัน เพียงแต่อาจจะมี นักธุรกิจ-นักลงทุนระดับบน ที่อาจพอใจ การทำงานของทีมสมคิด เพราะทำให้รวยขึ้น ผลประกอบการดีขึ้น แต่กับประชาชนทั่วไป คนชั้นกลาง-คนรากหญ้า ก็ไม่ได้ชื่นชม ประทับใจอะไรกับทีมสมคิด 

ดังนั้น การจะชู สมคิด เป็นแคนดิเดตนายกฯ แน่นอนว่า คือจุดขายสำคัญของสร้างอนาคตไทย 

ยิ่งหาก พลเอกประยุทธ์ หลุดจากนายกฯ กลับมาเล่นการเมืองต่อไม่ได้ในการเลือกตั้งรอบหน้า ก็จะทำให้แคนดิเดตที่จะไปแข่งกับพวก พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากก้าวไกล หรือเพื่อไทย ของพรรคการเมืองอีกฝั่งหนึ่ง ก็จะเหลือตัวคนที่พอขายได้ไม่มากนักหากไม่มีพลเอกประยุทธ์ หากเป็นแบบนี้ จะทำให้ชื่อของ สมคิด โดดเด่นขึ้นมาได้ ทั้งเรื่องประสบการณ์ และวัยวุฒิ รวมถึงการได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทุนต่างๆ แต่หากพลเอกประยุทธ์ ได้ไปต่อ ไม่หลุดจากนายกฯ และยังจะลงชิงแคนดิเดตนายกฯรอบหน้าต่อไปอีก ก็จะทำให้ บทบาทของสมคิด อาจไม่เด่นเหมือนกรณีแรก

การเคลื่อนของ พรรคสร้างอนาคตไทย หลังจากนี้ จึงน่าสนใจว่า สมคิด จะนำพาพรรคการเมืองพรรคนี้ไปได้ไกลแค่ไหน โดยเฉพาะกับการหวังลุ้นเก้าอี้นายกฯของสมคิด ที่แค่โจทย์แรก ในการทำให้พรรคได้ส.ส.อย่างน้อย 25 คน หลังเลือกตั้ง เพื่อให้ชื่อของสมคิด สามารถถูกเสนอชื่อชิงแคนดิเดตนายกฯได้ตามรัฐธรรมนูญ  

ถึงตอนนี้ พบว่า แวดวงการเมือง ก็ดูจะไม่เชื่อว่า พรรคสมคิด จะได้ส.ส.ถึง 25 คน!

แสดงความเห็น