ป.ป.ช. ฟัน “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” สมัยนั่งรมว.มหาดไทย  รับประโยชน์เกิน 3 พัน ปมตั๋วเครื่องบิน

ป.ป.ช.ฟัน “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” สมัยนั่งรมว.มหาดไทย รับประโยชน์เกิน 3 พัน เป็นตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ตปท. วงเงินเฉียด 6 หมื่นบาท​

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมด้วยนายภูเทพ ทวีโชติธากุล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. และนายนิติพันธุ์ ประจวบเหมาะ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ร่วมกันแถลงผลงานคดีทุจริตไตรมาสแรกปี 2565

นายนิวัติไชย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 2 ก.พ.65 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิดนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.มหาดไทย กับพวก กรณีรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อันไม่ควรได้ตามกฎหมาย โดยปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อปี 55 นายจารุพงศ์ กับพวก เดินทางไป-กลับ กทม.-ปักกิ่ง ประเทศจีน ด้วยสายการบินไชน่าแอร์ไลน์ ชั้นธุรกิจ ตกราคาที่นั่งละ 39,000 บาท ต่อมาปี 56 เดินทางไป-กลับ กทม.-กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ด้วยสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ ชั้นธุรกิจ ตกราคาที่นั่งละ 20,000 บาทเศษ รวมมูลค่าที่ได้รับไปเกือบ 6 หมื่นบาท

จากการไต่สวนพบว่า นายจารุพงศ์กับพวก มีการเรียกเก็บค่าตั๋วจากบริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด หรือ อีสต์วอเตอร์ ทั้งที่นายจารุพงศ์ไม่มีความเกี่ยวข้องหรือความสัมพันธ์โดยตรง หรือควบคุมดูแลบริษัทดังกล่าว เนื่องจากบริษัทแห่งนี้มิใช่รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ แม้ว่านายจารุพงศ์เป็น รมว.มหาดไทย โดยตามกฎหมายจะรักษาการประธานบอร์ดการประปา ขณะที่อีสต์วอเตอร์มีการประปาเข้าไปถือหุ้นก็ตาม แต่ถือแค่ 40% เท่านั้น ดังนั้นทำให้การประปาไม่เกี่ยวกับอีสต์วอเตอร์ และนายจารุพงศ์ไม่สามารถเรียกเงินดังกล่าวได้​ ดังนั้น​ จึงรับฟังได้ว่า นายจารุพงศ์ รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเกินกว่า 3 พันบาท ตามระเบียบหรือประกาศของ ป.ป.ช. มีมูลความผิดตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 103 มีโทษสูงสุดจำคุก 3 ปี ปรับ 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยความคืบหน้าขณะนี้ได้ส่งสำนวนไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินการต่อไป

เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ยังมีอีกอย่างน้อย 2 คดีที่มีความคืบหน้า ภายหลัง ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ได้แก่​ 1.กรณีการชี้มูล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยมิชอบ มีการตั้งคณะทำงานร่วมพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ระหว่างฝ่ายอัยการ และฝ่าย ป.ป.ช. ขณะนี้ อสส. มีความเห็นควรสั่งฟ้องแล้ว​ และ2.กรณีการชี้มูลนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ กับพวก คดีปรับปรุงข้าวส่งออกไปยังอินโดนีเซีย เอื้อประบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด หรือ คดีข้าวบูล็อค มีการตั้งคณะทำงานร่วมฯพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์เสร็จสิ้นแล้ว ขณะนี้ อสส.มีความเห็นควรสั่งฟ้องเช่นเดียวกัน

แสดงความเห็น