ไม่ว้าว “วิโรจน์” ชิงผู้ว่าฯกทม. หรือจะเข้าทาง “ชัชชาติ”

การแถลงเปิดตัวของ “พรรคก้าวไกล” ที่ส่ง “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส. บัญชีรายชื่อ-โฆษกพรรคก้าวไกล” เป็นแคนดิเดตผู้สมัครชิงผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร ของพรรคก้าวไกลเมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา 

จับกระแสที่ออกมาหลังจากนั้นโดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย แม้แต่กับกองเชียร์พรรคส้ม-ม็อบสามนิ้ว-กลุ่มไม่เอารัฐบาล เองก็พบว่า ไม่เป็นที่ฮือฮาเท่าไหร่นัก เรียกได้ว่า “ไม่ว้าว-no wow” เพราะคนคาดหวังว่า พรรคก้าวไกล จะมีชื่อที่

“ดี-เด่น-ดัง” และ “ปังกว่านี้” 

หลังจากซุ่มเงียบมานานร่วมปี และที่ผ่านมา คนในพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้า ที่เป็นคณะการเมือง คู่ขนานกับพรรคก้าวไกล แต่เน้นการเมืองท้องถิ่น ก็โหมโรงมาตลอดว่า แคนดิเดตคนลงผู้ว่าฯกทม.ของพรรคก้าวไกล  รับรองมีเซอร์ไพรส์ เปิดมารับรองปัง-มีว้าว คนเลยคิดว่า จะต้องเป็นนักบริหาร มืออาชีพ มีประสบการณ์สูงในภาครัฐหรือเอกชน ไม่ใช่นักการเมืองแบบร้อยเปอร์เซนต์ แต่พอกลายเป็นชื่อ วิโรจน์ ที่คนคุ้นเคยกับสไตล์ ลีลา ของเขาดีอยู่แล้ว และไม่ได้มองว่า วิโรจน์ มีบุคลิกนักบริหารอะไรที่จะถึงขั้นไปบริหารกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงประเทศไทยได้ แต่เหมาะจะทำงานการเมืองในสภาฯ ในฐานะส.ส.ฝ่ายค้านคอยตรวจสอบรัฐบาลมากกว่า 

มันก็เลยทำให้ คนไม่ค่อยฮือฮาเท่าไหร่ บางส่วน ก็มองไปในทางว่า ก้าวไกล หมดตัวเล่น-หมดมุข หาตัวคนลงสมัครไม่ได้ โดยเฉพาะคนนอก ก็เลยต้องไปเข็นวิโรจน์ มาเปิดตัวลงสมัคร หลังก่อนหน้านี้มีชื่อหลุดมาหลายชื่อ 

ในทางการเมือง การที่ก้าวไกล ดัน วิโรจน์ ลงสมัครผู้ว่าฯกทม. คนที่ “ยิ้ม-สบายใจ” มากที่สุด คือใคร ก็คิดว่า หลายคน คงเห็นตรงกัน 

ก็ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.อิสระ แต่อยู่ใต้การสนับสนุนของพรรคเพื่อไทย” นั่นเอง 

เพราะคนมองและวิเคราะห์ไปว่า หากผู้สมัครของพรรคก้าวไกล ได้คนที่ชื่อชั้นไม่ธรรมดา คนกทม.ยอมรับสูง ก็อาจมาตัดคะแนนของ ชัชชาติ ได้    ด้วยต้องยอมรับความจริงทางการเมืองว่า ยังไง การลงคะแนนของคนกรุงเทพฯ ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ที่จะมีขึ้น ก็ยังมีเรื่องของการ “แบ่งขั้ว-เลือกข้างทางการเมือง” โดยเอาการเมืองระดับชาติ เป็นเกณฑ์การตัดสินใจอยู่ คนกลุ่มที่คิดแบบนี้ยังมีอีกจำนวนมากในกทม. 

เช่น คนคิดที่จะเลือก ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์จากประชาธิปัตย์ ยังไง ก็จะไม่เลือก ชัชชาติ อยู่แล้ว เพราะมองว่าอยู่คนละขั้ว 

ส่วนเมื่อมองไปในระดับ “ขั้วการเมืองเดียวกัน” ก็มีการมองกันว่า คนที่จะเลือก ชัชชาติ ก็อาจมีจำนวนไม่น้อย ที่อาจจะเลือก คนของพรรคก้าวไกล ถ้าพรรคก้าวไกล ส่งผู้สมัครที่โปร์ไฟล์ ชื่อชั้น พอสูสีกับ ชัชชาติ แต่เมื่อ ก้าวไกลส่ง วิโรจน์ ที่มีภาพจำทางการเมือง เป็นส.ส.ฝีปากกล้า ในสภาฯ มากกว่า ไม่ได้มี “ภาพจำเรื่องนักบริหาร-การคิดในภาพใหญ่เรื่องการแก้ปัญหากทม.ทั้งระบบ” ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็น “จุดแข็งชัชชาติ” ที่ทำให้ โพลล์ทุกสำนัก ที่ผ่านมา ชัชชาติ ก็มาอันดับหนึ่งตลอด เมื่อผลออกมาแบบนี้ มันก็ทำให้ คนกทม.ที่กำลังดูอยู่ว่า หากเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.มาถึง จะเลือกใครระหว่าง ชัชชาติ  หรือก้าวไกล อาจตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเยอะกับการเลือกคนไปบริหารกทม.  

อย่างไรก็ตาม เชื่อได้ว่า วิธีคิดของแกนนำพรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้า คงคิดในเชิงยุทธศาสตร์การเมืองมากกว่า ถึงตัดสินใจส่ง วิโรจน์ ลงสมัคร เพราะต้องไม่ลืมว่า พรรคก้าวไกล มีฐานคะแนนของตัวเองในกทม.ระดับหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่ม นักศึกษา-คนรุ่นใหม่ รวมถึงคนที่เบื่อการเมืองแบบเก่า ซึ่งหากการเมืองเดินไปตามสเต็ปคือ มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ ส.ส. ด้วยภาพทางการเมืองของ วิโรจน์ ที่คนจดจำได้ มีตัวตนชัดเจนของความเป็นพรรคก้าวไกล 

การที่ ก้าวไกล ส่งตัวจริงของพรรคลงชิงผู้ว่าฯกทม. เองเลย ไม่เอาคนนอกพรรค มันจะทำให้ พรรคก้าวไกล สามารถเช็คเรตติ้ง พรรคก้าวไกลในกทม.ได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่า คะแนนที่ วิโรจน์-ก้าวไกลจะได้ ก็คือคะแนนนิยมที่ พรรคก้าวไกลมีในกทม.แบบเนื้อๆ เน้นๆ ไม่มีอย่างอื่นมาเจือปน พรรคก้าวไกลจะได้รู้ว่า หน้าตักของตัวเอง มีฐานเสียงคะแนนนิยมมากน้อยแค่ไหนในกทม. 

เพราะแม้ตอนสมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ จะได้ส.ส.เขตกทม.มา 9 คน และได้คะแนนเสียงในกทม.เยอะที่สุดคือ 804,272 คะแนน เรียกได้ว่า เยอะกว่า ทั้ง-เพื่อไทย ประชาธิปัตย์ อดีตแชมป์กทม.หลายสมัยรวมถึงมากกว่า พรรคพลังประชารัฐ ที่ได้ส.ส.เขตกทม. 12 คน เสียอีก 

แต่ที่ผ่านมา ก้าวไกล-อนาคตใหม่ ก็ถูกปรามาส ถูกมองว่า คะแนนแปดแสนกว่าคะแนนดังกล่าวในกทม. ไม่ใช่คะแนนของพรรคตัวเองทั้งหมด แต่เป็นคะแนนที่เกิดจาก คนกทม. กลุ่มที่ไม่เอาคสช.ตอนเลือกตั้งปี 2562 ที่จะเลือกพรรคเพื่อไทย แต่ตอนนั้น เพื่อไทยใช้วิธีแตกแบงค์พันตั้งพรรคไทยรักษาชาติ แล้วเพื่อไทย ไม่ส่งคนลงกทม.8 เขตแล้วให้ไทยรักษาชาติ ส่งคนลงในเขตที่เว้นว่างไว้ ทำนองฮั้วกัน แต่ครั้นพอไทยรักษาชาติโดนยุบพรรค ผู้สมัครของพรรคทั่วประเทศ โดนตัดชื่อออกหมด ทำให้กทม. 8 เขตของไทยรักษาชาติจึงว่าง ทำให้ประชาชนที่จะเลือกเพื่อไทย-ไทยรักษาชาติ เลยหันไปเลือกพรรคอนาคตใหม่แทน 

จุดนี้ ทำให้ยังมีข้อกังขามาตลอดว่า จริงๆ แล้วคะแนนแปดแสนกว่าคะแนนของอนาคตใหม่ หรือก้าวไกลในเวลานี้ ไม่ใช่คะแนนของตัวเองอย่างแท้จริงในกทม. 

ดังนั้น เมื่อจะมีการเลือกตั้งใหญ่เกิดขึ้นอย่างน้อยช้าสุดเดือนมีนาคมปีนี้หรืออาจเร็วกว่านั้น ถ้ามีการยุบสภาฯก่อน การที่ พรรคก้าวไกล ส่ง แกนนำพรรคที่มีบทบาทในสภาฯ คนรู้จักมากอย่าง วิโรจน์ ลงสมัครผู้ว่าฯกทม. 

มันก็คือการทำให้พรรคสามารถเช็คกระแสนิยมในกทม.ได้ว่า คนกทม.ที่สนับสนุนพรรคก้าวไกล แนวทางการเมืองของพรรค มีมากน้อยแค่ไหนกันแน่ เพื่อจะได้นำข้อมูลดังกล่าวไปเตรียมเลือกตั้งใหญ่ต่อไป 

มันจึงเป็นความจำเป็น ที่ยังไง พรรคก้าวไกล ก็ต้องหาคนมาลงสมัครผู้ว่าฯกทม.ให้ได้ แม้แกนนำพรรคก้าวไกลจะรู้ดีว่า “ชื่อ-ภาพลักษณ์นักบริหาร”ของวิโรจน์ ห่างชั้นจาก ชัชชาติ พอสมควร รวมถึงยังเป็นรอง “ดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.จากประชาธิปัตย์” ด้วยเช่นกัน แต่ พรรคก้าวไกล รู้ดีว่า ยังไงต้องส่งคนลงสมัคร เพราะการเป็นพรรคที่มีส.ส.กทม.หลายเขตแล้วไม่ส่งคนลงเลือกตั้ง จะไม่เป็นผลดีต่อพรรคก้าวไกลในพื้นที่กทม.แน่นอน

แต่ถามว่า พรรคก้าวไกล คาดหวังหรือไม่ ในการส่ง วิโรจน์ ลงสมัคร ก็ต้องบอกว่า คงคาดหวังระดับหนึ่ง ทำนองอาจมีจุดเปลี่ยน ทำให้ ชื่อของวิโรจน์ โดดเด่นขึ้นมาได้ ตอนช่วงหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. หลังเปิดตัวออกมาด้วยแคมเปญหาเสียง จะวิ่งชนทุกปัญหาของกทม.แต่อันดับแรกขอ 3 เรื่องก่อนคือ  1.ส่วย 2.ระบบราชการ 3.ปัญหานายทุนที่เอาเปรียบคนกทม.

ส่วนผลจะออกมาอย่างไร ต้องถึงช่วงศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.มาถึง จึงคาดการณ์ได้อีกครั้งกับโอกาสของ วิโรจน์-พรรคก้าวไกล 

ทว่าสิ่งที่พรรคก้าวไกล จะได้ตลอดช่วงการหาเสียงผู้ว่าฯกทม. ก็คือ ทั้งตัววิโรจน์-ส.ส.กทม.ของพรรคและว่าที่ผู้สมัครส.ส.กทม.ของก้าวไกล จะได้ ใช้สนามเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. สื่อสารทางการเมืองกับคนกทม.นานร่วม1-2 เดือนทั้งในเรื่องการเมืองท้องถิ่นและการเมืองระดับชาติ  ที่จะเป็นประโยชน์กับพรรคก้าวไกล แน่นอน เมื่อการเลือกตั้งใหญ่มาถึง 

แสดงความเห็น