หวังผลสูง แพ้มาเจ็บหนัก “ธรรมนัส” สุดช้ำ-คัมแบ็คลำบาก

การปราชัยของพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)  ในสนามเลือกตั้งซ่อมที่ชุมพรและสงขลา เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เห็นได้ชัด กระแสการเมืองทุกสาย โฟกัสไปที่ 

“ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ” 

เกือบทั้งหมด เรียกได้ว่า เทน้ำหนักไปที่ ธรรมนัส มากกว่า บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค-สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ผอ.เลือกตั้งซ่อมของพรรคพปชร.ที่ชุมพรและสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ผอ.เลือกตั้งซ่อมที่สงขลา เสียอีก 

แม้จริงอยู่ ด้วยความเป็นเลขาธิการพรรคพปชร. พรรคแกนนำตั้งรัฐบาล การที่พรรคพปชร. ล้มเหลว แพ้ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป. )ทั้งที่ชุมพรและสงขลา ธรรมนัส ในฐานะเลขาธิการพรรค ต้องรับผิดชอบ แต่ในทางการเมือง หากพรรคการเมืองแพ้เลือกตั้ง หัวหน้าพรรค ต้องรับผิดชอบมากกว่าเลขาธิการพรรคอยู่แล้ว รวมถึงตัวผอ.เลือกตั้งด้วย แต่จะพบว่า ทุกกระแสสนใจไปที่ตัว ธรรมนัส มากกว่า บิ๊กป้อม-สุชาติ-สันติ อย่างเห็นได้ชัด  

ว่าไปก็ไม่แปลก เพราะอย่างที่เห็นกัน ธรรมนัส ลงมาช่วยคุมการหาเสียง เป็นโต้โผใหญ่บนเวทีหาเสียงใหญ่ของพปชร. ทั้งที่ ชุมพรและสงขลาโดยเฉพาะช่วงสองสัปดาห์สุดท้าย ที่อยู่ในพื้นที่ตลอดทุกวัน กิน-นอน ร่วมประชุมวางแผนหาเสียงกับทีมหาเสียงตั้งแต่เช้าจนจรดค่ำ บางวันก็ออกไปเดินหาเสียง ถือโทรโข่ง ปราศรัยริมถนน ขึ้นรถแห่หาเสียงทั่วพื้นที่เลือกตั้ง ซึ่งเป็นท่าทีซึ่งคนในพรรคพปชร. ต่างบอกว่า คาดไม่ถึง 

เพราะเดิมทีคนมองว่า ธรรมนัส จะไม่ลงมาช่วยหาเสียงเลือกตั้งให้ด้วยซ้ำ จะเล่นบทลอยตัว ให้ทั้งสุชาติและสันติ ว่ากันเอาเอง อาจจะมาร่วมแค่แบบมาเย็น-กลับค่ำแบบพลเอกประวิตร ให้พอเป็นพิธี ด้วยเป็นที่รู้กัน “ธรรมนัส กับสุชาติและสันติ” มีความบาดหมางใจกันทางการเมืองกันอยู่ ชนิดถึงขั้นวางแผน

“โค่นล้ม-ชิงอำนาจ”

กันในรัฐบาลและในพรรคพลังประชารัฐกันมาแล้วหลายรอบ 

จนทำให้ เมื่อพปชร.ตัดสินใจส่งคนลงเลือกตั้งที่ชุมพรและสงขลา แล้วให้ สุชาติ เป็นผอ.เลือกตั้งที่สงขลา ทั้งที่สุชาติ เป็นคนชลบุรี และไม่ได้คุ้นเคยกับส.ส.ภาคใต้ของพปชร.เลย หรือการที่ สันติ พร้อมพัฒน์ เป็นผอ.เลือกตั้งชุมพร ทั้งที่สันติ เป็นส.ส.เพชรบูรณ์ และคุมพื้นที่เลือกตั้งภาคเหนือตอนล่างมาตลอด ตั้งแต่สมัยอยู่ไทยรักไทย-เพื่อไทย จึงไม่น่าจะมีความชำนาญในพื้นที่ ยิ่งชุมพร ใครต่อใครก็รู้กันดีว่า ยากจะเอาชนะได้ เพราะจะมีคะแนนสงสารที่คนชุมพรจะให้ กับกลุ่มของลูกหมี ชุมพล จุลใส ที่ต้องหลุดจากส.ส.และโดนตัดสิทธิ์การเมืองหลายปี โอกาสพปชร.จะชนะได้ยากมาก 

คนก็มองกันว่า ทั้งหมดคือการเดินเกมของ ธรรมนัส เลขาธิการพรรค  ที่จะไม่ไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งให้ อีกทั้ง ยังวางเกม ส่ง สุชาติ-สันติ ไปเป็นผอ.เลือกตั้งทั้งสองเขต เพื่อหวังผลให้ทั้งสองคนที่อยู่คนละกลุ่ม เสียหน้าเสียเครดิต ถ้าพปชร.แพ้เลือกตั้ง  

แต่ทว่า เมื่อ ธรรมนัส ลงมาช่วยหาเสียงที่ชุมพร และสงขลา แบบเต็มตัว ถึงลูกถึงคน ถึงไหนถึงกัน มีเท่าไหร่ก็ช่วยหมด ทุ่มสุดตัว  ไม่มีกั๊ก ถึงขั้นประกาศทุกเวที ทุกถนนที่ลงไปช่วยหาเสียงว่า

“ศึกนี้พลังประชารัฐ ต้องชนะสถานเดียว แพ้ไม่ได้” 

เท่านั้นเอง คนก็ลืมไปแล้วว่า สุชาติ-สันติ คือผอ.เลือกตั้ง เพราะทั้งสองคนแทบไม่มีบทบาทอะไรในการหาเสียงให้คนจดจำได้เลย ที่แตกต่างจากธรรมนัสอย่างมาก 

เมื่อ ธรรมนัส “เล่นใหญ่-ทุ่มสุดตัว” เอาชื่อตัวเอง ชื่อพรรค เป็นเดิมพันว่าแพ้ไม่ได้ แต่ผลเลือกตั้ง ออกมาอย่างที่เห็น พปชร.แพ้ทั้งสองเขต 

ธรรมนัส เลยกลายเป็นเป้าที่ถูกพูดถึงมากที่สุด 

สำหรับความปราชัยของพปชร.ในศึกเลือกตั้งซ่อมที่ชุมพร และสงขลา ครั้งนี้ หลังก่อนหน้านี้ นับแต่ เลือกตั้งซ่อมที่เชียงใหม่ ที่พปชร.แพ้ให้กับพรรคอนาคตใหม่ แบบสู้ไม่ได้ เพราะเพื่อไทย ไปช่วยอนาคตใหม่กันทั้งพรรค แต่หลังจากนั้น พปชร.ก็ชนะในสนามเลือกตั้งซ่อมมาตลอด ทั้งที่

“ขอนแก่น -กำแพงเพชร -สมุทรปราการ -ลำปาง-นครศรีธรรมราช”

พปชร. ชนะรวด ไม่เคยแพ้ แต่เมื่อมาแพ้ ที่ชุมพรและสงขลา โดยที่ ธรรมนัส ออกตัวแรง และเล่นใหญ่ ตลอดการหาเสียง พอแพ้ขึ้นมา แรงสวิงก็เลย ดับเบิ้ลหนักกว่าแพ้เลือกตั้งซ่อมปกติ 

เรื่องนี้ อ่านใจ ธรรมนัส ได้ว่า เหตุที่ออกตัวแรง ลงมาเล่นบท ทัพหน้าเสียเองที่ชุมพรและสงขลา คงเพราะ ธรรมนัส ต้องการใช้โอกาสนี้ แสดงฝีมือให้ พลเอกประวิตร รวมถึงคนในพปชร. ทุกกลุ่มทุกคน ได้เห็นว่า ขนาดภาคใต้ ชุมพร-สงขลา ที่เป็นพื้นที่เดิมของปชป. ตัว ธรรมนัส ยังถือธง นำผู้สมัครของพปชร.ชนะปชป.มาได้ 

ซึ่งหากทำได้ เก้าอี้ เลขาธิการพรรคพปชร.ที่มีข่าวว่ายังมีบางกลุ่มในพรรค ยังคลางแคลงใจ ไม่ยอมรับ จะได้หันมายอมรับในตัวธรรมนัส แบบไร้ข้อกังขา

ที่สำคัญ หาก ธรรมนัส ทำได้ มันจะทำให้ อย่างน้อยก็เป็นการกดดัน พลเอกประยุทธ์ที่ยังมีปัญหาคาใจกับธรรมนัสอยู่ พลเอกประยุทธ์ ก็จะถูกกดดันไปในตัวด้วย เพราะเท่ากับ ธรรมนัส จะได้ส.ส.ภาคใต้ที่ชุมพรและสงขลา  เข้ามาอยู่ในกลุ่มตัวเองเพิ่มมาอีกสองคน ผสมกับอำนาจในมือที่มีอยู่แล้วในพปชร. จะทำให้ ธรรมนัส มีอำนาจการต่อรองในพปชร.มากขึ้น จนไปกดดัน พลเอกประยุทธ์ในเรื่องการปรับครม. ที่ธรรมนัส ยังหวังให้พลเอกประยุทธ์ คืนเก้าอี้ รัฐมนตรีสองเก้าอี้คือ รมช.เกษตรและรมช.แรงงาน คืนให้กลุ่มธรรมนัส ก่อนการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมสภาฯกลางปีหน้า  

และเชื่อได้ว่า ธรรมนัส คงต้องการทดสอบและพิสูจน์ให้ พลเอกประวิตร และคนในพปชร.เห็นว่า พปชร. สามารถชนะเลือกตั้งในสนามยากๆอย่างภาคใต้ ได้ โดยไม่จำเป็นต้องชูพลเอกประยุทธ์ตอนหาเสียงก็ได้ 

เพราะหากสังเกตกันให้ดีๆ ตลอดช่วงหาเสียงของธรรมนัส ที่ชุมพรและสงขลา

“ธรรมนัส ไม่เคยพูดถึงพลเอกประยุทธ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งบนเวทีปราศรัยและตอนลงพื้นที่หาเสีย” 

ขณะที่คนอื่นๆ แม้แต่พลเอกประวิตร ยังปราศรัยเรื่อง การทำงานของพลเอกประยุทธ์ แต่เมื่อ ผลออกมา พปชร.แพ้เลือกตั้ง 

ในอีกทางหนึ่ง มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่า หากเลือกตั้งรอบหน้า ถ้าพปชร.ไม่ชูพลเอกประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือพลเอกประยุทธ์ เลิกเล่นการเมือง หรือไปเป็นแคนดิเดตนายกฯพรรคการเมืองอื่น พปชร.คงลำบากไม่น้อย ในการลงสนามเลือกตั้ง ที่จะไม่มี พลเอกประยุทธ์เป็นจุดขาย

ผลเลือกตั้งที่ออกมาที่ชุมพรและสงขลา ว่าไปแล้ว มันก็สะท้อนอะไรบางอย่างให้เห็นไม่น้อยสำหรับ “พลเอกประวิตร-พลเอกประยุทธ์-ธรรมนัสและพรรคพปชร.” ที่จะนำเรื่องนี้ ไปพิจารณากำหนดเส้นทางการเมืองของตัวเองต่อจากนี้ 

โดยเฉพาะกับ ธรรมนัส จากที่เคยคิดว่าจะใช้ชัยชนะในสนามเลือกตั้งซ่อม มาเพิ่มบารมีให้ตัวเองในพรรคพปชร. จนนำมาสู่การทำให้ กลุ่มของตัวเองมีตำแหน่งมีที่ยืนในคณะรัฐมนตรี แต่เมื่อ พปชร.แพ้เลือกตั้ง มันก็ทำให้ สิ่งที่เคยคิดและวางแผนไว้ วืดหมด จนทำให้การที่ ตัว ธรรมนัส เอง จะกลับมาคัมแบ็คแบบผงาดได้เต็มตัวอีกครั้งเหมือนก่อนหน้านี้ ดูแล้ว เริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ  

ที่แน่ๆ บทบาทของ ธรรมนัส ในฐานะเลขาธิการพรรคพปชร.และในฐานะแม่ทัพใหญ่ของพรรค ที่จะต้องนำพรรคพปชร. สู้ศึกเลือกตั้งใหญ่รอบหน้าที่เปลี่ยนกติกาการเลือกตั้งมาเป็นบัตรสองใบ ที่เข้าทางพรรคเพื่อไทยและโทนี่ ทักษิณ ชินวัตร 

หลังจากนี้ จะมีคนตั้งคำถามกันไม่น้อย รวมถึงคนในพรรคพปชร.ด้วยกันเองว่า สุดท้ายแล้ว “ธรรมนัส”ในฐานะเลขาธิการพรรคพปชร.  จะรับมือไหวหรือไม่ กับการที่จะนำพา พปชร.เข้าไปเจาะในพื้นที่เลือกตั้งระดับภาค ซึ่งมี “กระแสพรรค” ค่อนข้างแรง  เช่น “ภาคเหนือ-อีสาน” ยังไง กระแสนิยม เพื่อไทย ก็ยังแรงกว่าพรรคอื่น เช่นเดียวกับ ภาคใต้ การที่ปชป.ชนะที่ชุมพรและสงขลา ทำให้ที่ภาคใต้ พรรคปชป.จะกลับมามั่นใจและฮึกเหิมมากขึ้นในการทำศึกเลือกตั้งรอบหน้า เพื่อทวงคืนเก้าอี้เดิมในภาคใต้ที่ถูกพปชร.และภูมิใจไทยเข้ามาแย่งไปตอนปี 2562 

รวมถึงพื้นที่กรุงเทพมหานคร เองก็ตามที แม้พปชร.จะเคยได้ส.ส.เขต กทม.เข้ามาถึง 12 คนตอนเลือกตั้งปี 2562 แต่ตอนนั้น กระแสนิยม พลเอกประยุทธ์ ในกทม.ยังแรงกว่าตอนนี้มาก อีกทั้ง ผู้นำพรรคพปชร.ช่วงดังกล่าว “ชื่อ-เครดิต-ภาพลักษณ์” ของ อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคและสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค ยังไง คนกรุงเทพฯ พอรับได้ แต่หากเป็น “บิ๊กป้อม-ธรรมนัส”  คนกทม. คงคิดหนักไม่น้อย ยิ่งหากพปชร.ไม่มีพลเอกประยุทธ์มาเป็นจุดขาย ก็ยิ่งนึกภาพไม่ออกว่า พปชร.จะเอาอะไรมาหาเสียงกับคนกทม. 

ทั้งหมดคือการบ้านที่ ธรรมนัส ต้องกลับไปแก้เกม-ปรับแผนการทางการเมือง ครั้งใหญ่ หลังพปชร.แพ้เลือกตั้งที่ชุมพรและสงขลา ซึ่งทำเอา แผนการที่วางไว้ก่อนหน้านี้ อย่างที่วิเคราะห์ข้างต้น ผิดแผนไปหมด 

แสดงความเห็น