แบกน้ำหนักสู้ 3 สนาม พปชร.ชนะไม่หมด -พรรคสะเทือน

การเมืองปีหน้า “2565-ปีขาล” ที่บรรดาโหราศาสตร์การเมืองทั้งหลาย กางปฏิทินดวงเมืองรัตนโกสินทร์แล้ว หลายสำนักชี้เปรี้ยงเป็น “ปีเสือดุ” ซึ่งเท่าที่เห็นระเบิดเวลาการเมืองหลายลูกที่รออยู่ในปีหน้า ก็พอให้เชื่อได้เช่นนั้น 

อย่างเปิดศักราชมาเดือนแรก มกราคม  ก็ระอุแล้ว เพราะเป็นเดือนที่จะมีการเลือกตั้งซ่อมเกิดขึ้นถึง 3 สนาม คือ ชุมพร-สงขลา ที่จะเลือกตั้งซ่อมวันอาทิตย์ที่ 16 ม.ค. 2565 เพื่อมาแทน ชุมพร จุลใส และ ถาวร เสนเนียม ตามลำดับ และที่หลักสี่ กรุงเทพมหานคร ที่คาดว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง จะเคาะให้เลือกกันวันอาทิตย์ที่ 30 ม.ค. เพื่อหาคนมาเป็นส.ส.แทน สิระ เจนจาคะ 

ศึกเลือกตั้งซ่อม 3 สนามดังกล่าว ที่รอบนี้ พรรคร่วมรัฐบาล-พรรคร่วมฝ่ายค้าน ต่างไม่มีการหลีกทางให้กัน เช่นที่ชุมพร-สงขลา คู่ต่อสู้หลักคือ “ประชาธิปัตย์ เจ้าของพื้นที่เดิมกับพลังประชารัฐ” ทำให้เป็นสนามที่พรรคร่วมรัฐบาลต้องแข่งกันเอง ส่วนคู่แข่งจากฝ่ายค้านอย่าง พรรคก้าวไกลที่ส่งคนลงทั้งสองเขต น่าจะได้แค่ส่ง โอกาสลุ้นชนะแทบไม่มี และอาจได้คะแนนน้อยกว่า ผู้สมัครจากพรรคกล้า ที่ยังไม่มีส.ส.ในสภาฯ ก็ได้  

ขณะที่ หลักสี่ กทม. ถึงแม้ ประชาธิปัตย์(ปชป.)อาจจะส่งคนลงเลือกตั้ง ที่อาจจะเป็น มือปราบหูดำ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีตรองผบช.น.- อดีตผู้สมัครรอบที่แล้ว ที่มีแนวโน้มต้องสู้กับ “สรัลรัศมิ์ เจนจาคะ –  เมียสิระ เจนจาคะ” ถ้าพลังประชารัฐ(พปชร.)ไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ แต่ที่น่าสนใจกว่าก็คือ ฝ่ายค้าน ก็สู้กันเองเช่นกัน ระหว่าง สุรชาติ เทียนทอง อดีตส.ส.หลักสี่ เพื่อไทย ลูกชาย ป๋าเหนาะ เสนาะ เทียนทอง วังน้ำเย็น ที่เคยเอาชนะสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าฯกทม. ตอนเลือกตั้งปี 2554  แต่มาแพ้สิระ ตอนเลือกตั้งปี 2562 ซึ่งลำพัง แค่สู้กับ พปชร.-ปชป.ก็หนักพอควร แต่ยังต้องมาสู้กับฝ่ายค้านด้วยกันเอง คือพรรคก้าวไกล ที่ส่ง เพชร-กรุณพล เทียนสุวรรณ นักแสดงที่แสดงออกทางการเมืองในซีกฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมาตลอด ลงชิงชัย 

ทั้ง 3 สนามเลือกตั้งซ่อม โดยเฉพาะที่หลักสี่ เห็นกันชัดๆ เลี่ยงไม่พ้นที่จะมีการตัดคะแนนกันเอง ระหว่างพรรครัฐบาล-ฝ่ายค้าน ทำให้การแข่งขัน จะสูสีเข้มข้นมาก คาดเดาผลได้ยาก  

ยิ่งที่ หลักสี่-กทม.ก็ยังจะมีตัวเลือกเพิ่มขึ้นมาอีกคือ “พรรคไทยภักดี” ที่มีนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม เป็นหัวหน้าพรรค ที่เปิดตัวส่งคนลงชิงชัยเลือกตั้งเป็นสนามแรก หลังก่อตั้งพรรค โดยจะส่งพันธุ์เทพ ฉัตรนะรัชต์-นักธุรกิจ ลงสมัครและได้พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ  ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่หลักสี่ เป็นหัวคะแนนให้ 

ดูไปแล้ว คนของไทยภักดี จะมาตัดคะแนน ทั้งพปชร.และปชป. จนทำให้ ไปเข้าทาง เพื่อไทยและก้าวไกล 

ส่วนพรรคกล้ากับไทยสร้างไทย ของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พบว่าจนถึงต้นสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคม ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ จากทั้งสองพรรคที่ก็เป็นสองพรรคใหม่ที่หวังผลการเลือกตั้งในพื้นที่กทม.เป็นหลัก ว่าสุดท้าย กรณ์-เจ๊หน่อยจะส่งคนลงชิงชัยหรือไม่

โดยมีข่าวเบื้องต้นว่าพรรคไทยสร้างไทย ยังไม่มีความพร้อม จึงอาจจะยังไม่ส่ง เพราะที่ผ่านมา มีข่าวว่า สุรชาติ ที่เคยเป็นลูกทีมเจ๊หน่อย สมัยเจ๊หน่อย เป็นหัวหน้าทีมกทม.เพื่อไทย เดิมที สุรชาติ มีสัญญาใจว่าอยากจะย้ายไปอยู่ไทยสร้างไทยด้วยตั้งแต่ตอนเจ๊หน่อย เปิดพรรคใหม่ๆ แต่ระยะหลังลูกป๋าเหนาะ เริ่มลังเลไม่อยากไปแล้ว จะอยู่เพื่อไทยต่อ ยิ่งพอมาเกิดเลือกตั้งซ่อมแบบนี้ ทำให้ สุรชาติ ต้องลงเพื่อไทย เพื่อทวงเก้าอี้คืน  

เห็นแบบนี้แล้ว ศึกเลือกตั้งซ่อมทั้งสามสนาม ถึงช่วงโค้งสุดท้าย การต่อสู้แข่งขัน คงดุเดือดเข้มข้นแน่นอน

และเมื่อมองไปที่พลังประชารัฐพรรคแกนนำรัฐบาล ที่ส่งคนลงสมัครทั้งสามเขตเลือกตั้ง ทั้งที่เดิมที “ชุมพร” เอง บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เคยหักกรรมการบริหารพรรค ที่เคยมีมติ 17 ต่อ 3 ที่ให้ส่งคนลงเลือกตั้งที่ชุมพร แต่บิ๊กป้อม มาสั่งให้ยกเลิกมติดังกล่าวแล้วไม่ให้ส่งเมื่อ 21 ธ.ค. ก่อนที่ต่อมาอีก 2 วัน คือ 23 ธ.ค.  มีข่าวว่า ส.ส.พปชร.หลายสิบคนมีการเคลื่อนไหวล่ารายชื่อกันที่รัฐสภา เพื่อขอให้พปชร.ส่งคนลงเลือกตั้ง จนบิ๊กป้อม ต้องเรียกประชุมด่วนแกนนำพรรคแล้วก็เปลี่ยนมติพรรค ให้ส่งคนลงเลือกตั้ง คือ ชวลิต อาจหาญหรือทนายแดง 

ด้วยเหตุที่ ส.ส.ภาคใต้ พปชร. เช็คข่าวในพื้นที่ชุมพร แล้ว มั่นใจว่า กลุ่มลูกหมี ชุมพล จุลใส ไม่น่าจะยกทีมเข้าพปชร.ในการเลือกตั้งรอบหน้า  

สิ่งที่เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงอาการเครื่องรวนภายในพปชร.ที่ยังแก้ไม่หาย และงานนี้ทำให้ บิ๊กป้อม เสียหน้าไม่น้อย    

ที่น่าสนใจก็คือ การที่พปชร.แบกน้ำหนัก ลงสู้ทั้งสามสนาม โดยเฉพาะที่สงขลา ชุมพร ที่เป็นการเข้าไปแย่งเก้าอี้จากพรรคปชป. พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง ทั้งที่แกนนำพรรคปชป.ออกมาตีกันว่าโดยมารยาทการเมืองแล้ว พรรคร่วมรัฐบาลไม่ควรแข่งกันเอง แต่พปชร.ก็ไม่สนใจ เพื่อนร่วมรัฐบาล เพราะความฮึกเหิม ที่เลือกตั้งซ่อมทุกครั้ง ยกเว้นที่เชียงใหม่ พปชร.ชนะมาหมด ไม่ว่าจะเป็นลำปาง -กำแพงเพชร-ขอนแก่น-สมุทรปราการ-นครศรีธรรมราช จึงทำให้พปชร.มั่นใจว่า รอบนี้ สงขลา-ชุมพร น่าจะสามารถเอาชนะปชป.ได้อีกรอบ 

ซึ่งหากพปชร.ชนะที่สงขลาและชุมพร  ก็ไม่เป็นไร แน่นอนว่า ถ้าทำได้ จะถือเป็นความสำเร็จในทางการเมืองที่ไม่ธรรมดา แต่หากเกิดแพ้ขึ้นมา จะเกิดแรงสวิงกลับทางการเมืองแบบรุนแรงในพปชร.ทันที 

ที่เห็นๆเลยก็คือ จะทำให้สองแกนนำพรรคคือ สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน รองหัวหน้าพรรคที่เป็นผอ.เลือกตั้งที่สงขลา และสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ที่เป็นผอ.เลือกตั้งที่ชุมพร ซึ่งทั้งสองคน เป็นแกนนำพรรคพปชร.

“ฝ่ายตรงข้าม ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค”

ซึ่งเคยวางแผนกับแกนนำพรรคหลายคนเพื่อต้องการเขี่ย ธรรมนัส ออกจากเลขาธิการพรรคมาแล้วแต่ไม่สำเร็จ 

โดยหากพปชร.แพ้ ทั้งสองเขต หรือชนะไม่หมดทั้งสองเขต  งานนี้  ทั้ง “สุชาติ-สันติ” ที่เคยจะขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรคแทน ธรรมนัส ยังไง ทั้งสองคน ต้องเสียเครดิตในพปชร.แน่นอน และนั่นจะเป็นโอกาสที่ทำให้ ธรรมนัส เคลมการเมืองได้ว่า ทั้งสันติ-สุชาติ ที่เป็นฝ่ายตรงข้าม มือไม่ถึง หากถึงศึกเลือกตั้งใหญ่ อาจทำการใหญ่ไม่ได้ 

หากออกมาแบบนี้ จะยิ่งทำให้ ธรรมนัส มีบทบาทความสำคัญในพปชร.มากขึ้นไปอีก เพราะบิ๊กป้อม จะยิ่งเพิ่มความไว้วางใจให้มากขึ้น 

ทั้งที่ สันติ และสุชาติ ก็ไม่ใช่คนใต้ ไม่มีฐานการเมืองในพื้นที่ และที่ผ่านมา ทั้งสองคน ก็ไม่ค่อยได้ลงไปภาคใต้เพื่อทำพื้นที่ให้พปชร.มาก่อน ไม่เหมือนกับ ธรรมนัส ที่ช่วงหลังลงพื้นที่ภาคใต้อย่างถี่ยิบ  

ยิ่งเป็นที่รู้กันว่า ธรรมนัส แนบแน่น กับนายกชาย เดชอิศม์ ขาวทอง รองหัวหน้าพรรคพปชร. ที่ส่งเมียตัวเองลงเลือกตั้งซ่อมที่สงขลา โดยแม้ที่ผ่านมา ธรรมนัส จะแสดงออกภายนอกว่า ไม่ขวางที่พปชร.จะส่งคนลงเลือกตั้งที่สงขลา แต่ข่าววงใน บอกว่า ธรรมนัส มีการล็อบบี้ พูดคุยกับส.ส.ภาคใต้พปชร.หลายรอบ เพื่อเช็คกระแสและหยั่งท่าทีส.ส.ภาคใต้ว่าควรส่งคนลงที่สงขลาหรือไม่ โดยเมื่อเห็นว่า ส.ส.ใต้ พปชร.ส่วนใหญ่บอกว่าควรส่ง ก็ทำให้ ธรรมนัส ที่พยายามสงวนท่าทีในการพูดคุย ก็ไม่ได้คัดค้าน 

แต่กระนั้นก็ตาม ส.ส.ภาคใต้หลายคนในพปชร.บอกว่า ให้จับตาดูให้ดี หากถึงช่วงหาเสียงเลือกตั้งโดยเฉพาะสัปดาห์สุดท้าย ถ้าธรรมนัส ไม่ลงพื้นที่ไปช่วยหาเสียง ที่ชุมพรและสงขลา แสดงว่า งานนี้ ธรรมนัส ที่คุ้นเคยในพื้นที่ สงขลากับชุมพร มากกว่า สุชาติและสันติ ลอยตัว ไม่ลงมาช่วยออกอาวุธ วางแผนสู้ศึก ให้ พปชร.แล้ว ทั้งที่เป็นเลขาธิการพรรค แต่หาก ธรรมนัส มาช่วย ก็ต้องดูอีกว่า มาแล้ว เต็มที่หรือไม่ หรือสับขาหลอก จนสันติ-สุชาติ ตายใจ จนสุดท้ายพปชร.แพ้เลือกตั้ง 

สนามเลือกตั้งทั้งที่ชุมพร-สงขลา หากพปชร.ชนะไม่หมดทั้งสองเขต หรือหากหนักกว่านั้น แพ้หมดทั้งสองที่ จะเกิดแรงสั่นสะเทือนในพปชร.แน่นอน โดยเฉพาะการเมือง-การแย่งชิงอำนาจกันเองของกลุ่มต่างๆ ในพปชร.ที่จะใช้ผลการเลือกตั้งมาทิ่มแทงกัน จนเกิดศึกระหว่างกลุ่มขั้วธรรมนัสกับกลุ่มสันติ-สุชาติ ตามมา 

ที่หนักกว่านั้นก็คือสนามเลือกตั้งซ่อมหลักสี่ ซึ่งอยู่ในพื้นที่เมืองหลวง กทม. งานนี้ เดิมพันสูงสำหรับ พปชร. และบิ๊กป้อม เพราะการเป็นพรรครัฐบาลแล้วแพ้เลือกตั้งในสนามกทม. จะเกิดเอฟเฟกต์การเมืองรุนแรงตามมาอย่างมาก 

ฝ่ายตรงข้ามจะใช้โอกาสนี้ ปั่นกระแสว่า ความนิยมของประชาชนต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงจุดตกต่ำ คนกทม.ไม่เอาบิ๊กตู่ -พปชร.เข้าสู่ช่วงขาลง

สนามเลือกตั้งซ่อม หลักสี่ จึงเป็นสนามที่พลเอกประวิตร รวมถึงตัวบิ๊กตู่เอง จะซีเรียสเป็นพิเศษ ในการที่ต้องทำให้ พปชร.ชนะให้ได้ เพราะหากแพ้มา ผลทางการเมืองลามมาถึงรัฐบาล-ตัวนายกฯแน่นอน 

ความน่าสนใจจึงอยู่ที่ว่า สนามเลือกตั้งหลักสี่ พปชร.จะให้ใครเป็น “ผอ.เลือกตั้ง-คุมการเลือกตั้ง” โดยหากให้ บิ๊กป้อม ที่ประกาศว่าดูแลพื้นที่กทม.ด้วยตัวเอง มาเป็นผอ.เลือกตั้ง แล้วเกิดพปชร.แพ้ขึ้นมา บิ๊กป้อม ก็เสียหน้าอย่างมาก 

การแบกน้ำหนัก ของพปชร.ที่ลงทำศึกเลือกตั้งทั้งสามสนามเลือกตั้ง หากชนะหมดก็ดีไป พปชร.กระหึ่มแน่ สันติและสุชาติ ก็ได้หน้า รับเครดิตไปเต็มๆ 

ทว่าหากพปชร. แพ้หมด หรือต่อให้ชนะ แต่ชนะไม่หมดทั้งสามเขต ยังไง แรงสั่นสะเทือนทางการเมืองภายในพปชร.เกิดขึ้นแน่นอน โดยเฉพาะถ้าแพ้ที่ สนามเลือกตั้งหลักสี่ -กทม.  

แสดงความเห็น