รมว.ยุติธรรม เปิดสัมมนาประมวลกฎหมายยาเสพติด หวังทำงานง่ายขึ้นตามแผนบันได 3 ขั้น

รมว.ยุติธรรม เปิดสัมมนาประมวลกฎหมายยาเสพติด หวังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานได้ง่ายขึ้นตามแผนบันได 3 ขั้น ยันนายกฯขอให้บูรณาการทำงานร่วมกันเพื่อความสำเร็จและเป็นประโยชน์ต่อสังคม

ที่โรงแรมรามา การ์เด้นส์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิด การประชุมเชิงปฏิบัติการแนวทางการดำเนินงานตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พร้อมด้วย นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. นายรุ่งศักดิ์ วงกระสันต์ ประธานแผนกคดียาเสพติดในศาลอุทธรณ์ นายปกรณ์ ยิ่งวรการ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นประจำสำนักประธานศาลฎีกา นายอุทัย สินมา อธิบดีอัยการ สำนักงานคดียาเสพติด พล.ต.นิติน ออรุ่งโรจน์ หัวหน้าอัยการทหาร กรมพระธรรมนูญ  และผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานต่างๆ รวมกว่า 100 คน 

นายวิชัย กล่าวรายงานว่า ประมวลยาเสพติดฉบับใหม่ ได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีคิด และวิธีการดำเนินการจากเดิมโดยมีกรอบความคิดที่สำคัญ คือ 1.การกำหนดนโยบายและแผนระดับชาติ ว่าด้วยการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด การจัดโครงสร้างและกลไกในการบริหารจัดการปัญหา 2. การกำหนดนโยบายตัวยาเสพติด  การนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม 3.การมองปัญหาผู้เสพหรือผู้ติดยาเสพติดในมิติของปัญหาด้านสาธารณสุขและสุขภาพมากขึ้น ที่ถือว่ามิใช่เป็นปัญหาทางอาชญากรรมอย่างเดียว 4.การวางกรอบการลงโทษผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่ได้สัดส่วน และเหมาะสมกับความร้ายแรงของการกระทำความผิด และ 5. การมุ่งเน้นทำลายโครงสร้างเครือข่ายการค้ายาเสพติด กรอบความคิดดังกล่าว ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวทาง การดำเนินงานไปอย่างมาก เช่น การสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ จะต้องดำเนินการสืบสวนให้ปรากฏถึงพฤติการณ์ เพื่อแบ่งแยกระหว่างนักค้ายาเสพติดรายใหญ่กับแรงงานที่เป็นเครื่องมือของขบวนการค้ายาเสพติด รวมถึงการกำหนดมาตรการและเครื่องมือทางกฎหมายใหม่ๆ

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ประมวลกฎหมายยาเสพติดมีการปรับปรุงและพัฒนาในหลายด้านโดยเฉพาะในด้านกระบวนการยุติธรรม การปรับปรุงความผิดและบทลงโทษที่ใช้ในคดียาเสพติด ที่ เน้นการพิจารณาจากบทบาทและพฤติการณ์ ยิ่งกว่าปริมาณยาเสพติดแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการแสวงหาและการรวบรวมพยานหลักฐาน ของเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจับกุม พนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ ก็จะต้องปรับปรุงให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ สาเหตุแรงจูงใจที่ให้คนเข้ามาลักลอบค้ายาเสพติด คือ เงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนในทางทรัพย์สิน กฎหมายฉบับนี้จึงได้เพิ่มมาตรการทางกฎหมายใหม่ ๆ เพื่อใช้ในการตัดวงจรการลักลอบค้ายาเสพติด เช่น การริบทรัพย์สินไม่ผูกพันกับผลของคดีอาญา การริบทรัพย์สินตามมูลค่า การให้เครื่องมือทางกฎหมายกับเจ้าหน้าที่ ในการยึดหรืออายัดทรัพย์สินในกรณีเร่งด่วน ก่อนมีคำสั่งตรวจสอบทรัพย์สิน เพื่อป้องกันกันยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องใหม่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมมือกันกำหนดแนวทางการดำเนินงานให้มีความชัดเจน โดยมีเป้าหมายและวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ การตัดวงจรการค้ายาเสพติดให้ลดลงและหมดไปจากประเทศไทย

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นอยากให้ยาเสพติดลดน้อยหมดไปจากประเทศ อยากให้พวกเราทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งอันเดียวกันในการปราบปรามยาเสพติด โดยเวลานี้รัฐบาลได้มีแผนบันได 3 ขั้น คือ ขั้นแรกที่เราได้ทำมานานแล้ว คือ การปราบปราม ซึ่งในแต่ละปีใช้งบประมาณมหาศาล แต่ยึดทรัพย์ของเครือข่ายยาเสพติดได้ไม่เกิน 600 ล้านบาทต่อปี หากเรายังทำแบบเดิมคงปราบไม่ได้ จึงได้มีบันไดขั้นที่ 2 คือการยึดทรัพย์ตัดวงจรเครือข่ายค้ายา  ซึ่งเราได้ปรับปรุงกฎหมายยาเสพติด รวม 24 ฉบับเป็นฉบับเดียว เป็นประมวลกฎหมายยาเสพติด แต่เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องใหม่จึงต้องหารือพูดคุยและสัมมนาร่วมกันให้เข้าใจ เพื่อให้การปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน และในกฎหมายเรายังได้ปิดช่องโหว่ ให้ผู้ปฏิบัติทำงานอย่างมีความสุขและปลอดภัย ส่วนบันไดขั้นที่ 3 ตนคิดว่าเราคงไม่ต้องไปถึงขั้นนั้น ซึ่งเป็นแนวทางที่ไทยเคยไปศึกษาดูงานที่ประเทศโปรตุเกส และตนได้เคยพูดคุยกับ นายอันโตนิอู กุแตเรซ เลขาธิการสหประชาชาติ คือการที่รัฐผลิตยาเสพติดขึ้นมาเอง เพื่อบำบัดผู้ติดยา ซึ่งจะทำให้ผู้ผลิตหมดไป แต่เรายังไม่ถึงขั้นนั้นและไม่มีความคิดที่จะใช้ เวลานี้เราต้องเดินตามแผนขั้นที่ 2 ก่อน แต่หากไม่สำเร็จค่อยมาคิดถึงแผนขั้น 3 ซึ่งการบำบัดผู้ติดยาเสพติด เราได้ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข และจะมีกฎหมายตามมาในอนาคต

“การสัมมนาในวันนี้ เพื่อเป็นการพูดคุยแนวทางปฏิบัติ ระหว่างหน่วยงานต่างๆให้เข้าใจตรงกัน เพื่อเป็นมาตรฐานเดียวในการทำงาน กฎหมายเก่า จะเน้นการจับยาที่ปริมาณ จับกุมแล้วมักไม่ขยายผลต่อ แต่กฎหมายใหม่ เราจะเน้นที่พฤติการณ์ของผู้ต้องหา จับแล้วขยายผลนำไปสู่การยึดทรัพย์ และตัวชี้วัดจะไม่ใช่ปริมาณยา แต่เป็นการขยายผล นำไปสู่การดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.มาตรการสมคบ กฎหมายฟอกเงิน และกฎหมายรัษฎากร ซึ่งในช่วงนี้เป็นช่วงรอยต่อของกฎหมาย ต้องเร่งทำความเข้าใจ หากเราเข้าใจอย่างถ่องแท้ ผมมั่นใจว่าเราจะยึดทรัพย์ได้ถึง 10,000 ล้านบาท และปัญหายาเสพติดจะค่อยๆลดน้อยลงไป” นายสมศักดิ์ กล่าว

แสดงความเห็น