คืบหน้า 4 วัคซีนสัญชาติไทย อยู่ในขั้นทดสอบในมนุษย์ รัฐหนุนงบ 4.8 พันล้าน

รองโฆษกรัฐบาล เผยความก้าวหน้า 4 วัคซีนสัญชาติไทย อยู่ในขั้นทดสอบในมนุษย์ ขณะที่รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณเพื่อการวิจัยฯแล้วกว่า 4.8 พันล้านบาท

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 (ศบค.) เมื่อวานนี้ (26 พ.ย.) นายกรัฐมนตรี ได้ติดตามความก้าวหน้าการวิจัยวัคซีนในประเทศไทย ซึ่งได้รับการรายงานว่า ขณะนี้ทั้ง 4 วัคซีนกำลังอยู่ในขั้นทดสอบในมนุษย์ และได้รับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อใช้ในการพัฒนาเป็นระยะ รวมวงเงิน 4.8 พันล้านบาท กล่าวคือ วัคซีน NDV-HXP-S ที่พัฒนาโดยองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดลได้รับงบประมาณจากรัฐบาลผ่านสถาบันวัคซีนแห่งชาติ  (สวช.) แล้ว 45.88 ล้านบาท ทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 2 แล้วตั้งแต่ 16 ส.ค. 64 คาดว่าจะทราบผลภายในเดือนนี้ (ธ.ค. 64) อยู่ระหว่างทำคำของบประมาณเพื่อรับการสนับสนุนสำหรับการทดสอบระยะที่ 3

วัคซีน Chula-Cov19 พัฒนาโดยศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลผ่านสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (สวช.) จำนวน 375 ล้านบาท ทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 2 เริ่ม ส.ค. 64 คาดว่าจะทราบผลภายในเดือนธันวาคมนี้ และสำหรับการทดสอบทางคลินิกระยะที่ 3 และการผลิตเพื่อขึ้นทะเบียนวัคซีนเพื่อใช้ในภาวะฉุกเฉิน ครม.ได้อนุมัติงบประมาณจาก พ.ร.ก.เงินกู้กรอบวงเงิน 2,316 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

วัคซีน Baiya SARS-CoV-2 Vax พัฒนาโดยบริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับงบประมาณจาก พ.ร.ก.เงินกู้ฯ 160 ล้านบาท ในช่วงต้น ขณะนี้อยู่ในช่วงทดสอบในมนุษย์ ระยะที่ 1 เริ่ม ตั้งแต่ ต.ค. 64 และล่าสุด ครม.ได้อนุมัติกรอบวงเงิน 1,309 ล้านบาท จากพ.ร.ก.เงินกู้ เพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนาวัคซีนในส่วนของการทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 3 ด้วย

และวัคซีนโควิเจน โดยบริษัท ไบโอเนท-เอเชีย ได้รับงบประมาณจาก พ.ร.ก. เงินกู้แล้ว 650 ล้านบาท ได้ทำการสอบในมนุษย์ ระยะที่ 1 แล้วตั้งแต่วันที่ 25 มิ.ย. 64 เพื่อศึกษาความปลอดภัยและการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ขณะนี้ อยู่ระหว่างการเตรียมการทดสอบในระยะที่ 2

“นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญและพร้อมสนับสนุนงบประมาณในการวิจัยและพัฒนาวัคซีนสัญชาติไทยในทุกขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการ R & D  การทดสอบประสิทธิภาพ การขึ้นทะเบียนเพื่อให้สามารถนำมาใช้ได้ครบวงจร เสริมความมั่นคงทางวัคซีนของประเทศ ถือเป็นอีกความหวังในการควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 และเป็นการเพิ่มศักยภาพด้านการจัดการสาธารณสุขของประเทศในระยะยาวด้วย” น.ส.รัชดา กล่าว

แสดงความเห็น