“พล.ต.อ.สุชาติ” เข้าแจง กมธ.กฎหมายแทน ผบ.ตร. ปมคดี ”ผกก.โจ้” ยันไม่มีการช่วยเหลือผู้ต้องหา

“พล.ต.อ.สุชาติ” เข้าแจง กมธ.กฎหมายแทน ผบ.ตร. ปมคดี ”ผกก.โจ้” ยันไม่มีการช่วยเหลือผู้ต้องหา ด้าน “พล.ต.ต.เอกรักษ์” ยันไม่เคยมีสัมพันธ์ส่วนตัวกับผกก.โจ้ แม้เคยรู้จักกันแต่ไม่สนิท

คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนาย สิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานกรรมาธิการฯ ประชุมวาระสำคัญ คือ การพิจารณาศึกษาแนวนโยบายด้านกฎหมายเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกกล่าวหาว่าทรมานผู้ต้องหาคดียาเสพติดด้วยการใช้ถุงพลาสติกคลุมศีรษะ เพื่อเรียกรับเงินจนผู้ต้องหาเสียชีวิต หรือ คดีอดีตผกก.โจ้

ทั้งนี้ ได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวเข้าร่วมการประชุมเพื่อซักถามในหลายประเด็นที่สังคมตั้งคำถาม นำโดยพล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่รับมอบมาชี้แจงแทน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ,พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 พล.ต.ต.ระพีพงษ์ สุขไพบูลย์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ พล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ นายแพทย์ชนินทร์ จารุวัฒนมงคล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ ตัวแทนสำนักงานศาลยุติธรรม ตัวแทนสภาทนายความ และนายรัชพล ศิริสาคร ตัวแทนนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ

นายสิระ เปิดเผยก่อนการประชุมว่าแนวทางในการพิจารณาวันนี้เป็นประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจและเคลือบแคลงสงสัยว่า ตำรวจจะให้การช่วยเหลือผู้ก่อเหตุหรือไม่ โดยอนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปร่วมฟัง และไลฟ์สดได้เพราะอยากให้เห็นว่าทุกขั้นตอนมีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้

ส่วนกรณีพ.ต.อ.ธิติสรรค์ อ้างว่ามีโรคบางอย่าง ที่อาจจะทำให้ความผิดลดน้อยลงหรือไม่นั้น เบื้องต้นก็จะต้องมีการพูดคุยกันก่อน โดยยืนยันว่าไม่มีการช่วยเหลือใดๆในคดีนี้

จากนั้นเมื่อเริ่มการประชุม นายสิระ ได้ถามทางตำรวจว่าคดีดังกล่าว มีการช่วยเหลือผู้ต้องหาในระหว่างดำเนินการจับกุมหรือไม่

ด้านพล.ต.อ.สุชาติ กล่าวว่าทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้ให้เจ้าหน้าที่ระดับผู้บังคับบัญชา เป็นหัวหน้าชุดสืบสวนคดีนี้เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรม และตนก็ได้ลงพื้นที่ ที่เกิดเหตุ พบว่าการกระทำของอดีตผกก.โจ้ มีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่ากระทำผิดจริง 3 ข้อหาด้วยกัน ตามที่เป็นข่าวไป และหากผลการสอบมีการกระทำผิดเพิ่มก็จะแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมต่อไป หลังจากนั้นก็ได้ควบคุมตัวผู้กระทำผิดทั้ง7รายมาดำเนินคดีนี้ไปแล้ว ยืนยันว่า การดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ได้มีการช่วยเหลือผู้กระทำผิดแต่อย่างไร

จากนั้น พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี่ตนเคยเจอกับ ผกก.โจ้ มาก่อนบ้าง ยอมรับว่า รู้จักแต่ไม่ได้สนิท ขณะที่คืนวันก่อนที่ ผกก.โจ้ จะมอบตัว ได้มีโทรศัพท์มาตอน 23.00 น. ซึ่งตอนนั้นจับผู้กระทำผิดไปแล้ว 4 ราย เหลืออีก 3 ราย หนึ่งในนั้นคือ ผกก.โจ้ และในสายโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาก็คือ ผกก.โจ้ ที่ร้องไห้มาแล้วบอกว่า “อยากตาย เรื่องจะได้จบ” ตนจึงกล่าวไปว่า “ถ้าผกก.โจ้ตายไปแล้ว สตช. จะเหลืออะไร ตำรวจไทยจะเหลืออะไร อย่างน้อยต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ”

ผกก.โจ้ บอกกลับมาว่า “งั้นพี่ต้องมารับ ที่ชลบุรี” จากนั้น ตนจึงรายงานไปที่ผู้บังคับบัญชาว่า ผกก.โจ้จะมอบตัว ต่อมาตอนเช้า ตนได้ขอชุดพิเศษ เอารถไป 4 คันตามในคลิป ออกจากภาค 6 เวลา 10.00 น. จากนั้น 16.00 น.ตนถึงหน้าโรงพักแสนสุข เมื่อเจอผกก.โจ้ที่ลงมาจากรถยนต์คันหนึ่ง สมาธิตนอยู่กับตัวผู้ต้องหา จึงไม่มีความจำเป็นที่ตนจะไปจำทะเบียนรถที่มาส่งผกก.โจ้ และก็ไม่ได้วิ่งไปตามดูทะเบียนแต่อย่างใด ก่อนที่ตนจะนำไปส่งกองปราบ ทั้งนี้ย้ำว่าตนกับอดีตผกก.โจ้ไม่เคยมีความสัมพันธ์ อะไรระหว่างกันเลย

จากนั้นในที่ประชุมยังได้มีการซักถามในประเด็นต่างๆอีกหลายประเด็น เช่นเรื่องของการซ้อมผู้ต้องหาด้วยการเอาถุงดำมาครอบหัวจนถึงแก่ความตาย คดีความเรื่องยาเสพติดของผู้ต้องหาที่เสียชีวิต การจัดแถลงข่าวการจับกุมผกก.โจ้ รวมไปถึงกรณีใบรับรองสาเหตุการตายใบแรกที่ระบุว่าสาเหตุการตายของผู้ตายมาจากสารเสพติด เป็นต้น โดยบรรยากาศในห้องประชุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย การซักถามและการชี้แจงไม่ได้มีการโต้เถียงกันแต่อย่างใด

นายน้ำแท้ มีบุญสล้าง ผอ.สถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาการสอบสวนฯ และดำเนินคดี สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ตามหลักกฎหมาย ในกรณีที่มีความตายเกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงาน ซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงาน เมื่อได้ชันสูตรพลิกศพแล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อ.) มาตรา 150 กำหนดให้พนักงานสอบสวนต้องส่งสำนวนชันสูตรพลิกศพไปยังพนักงานอัยการทันที แต่ตำรวจที่ทำคดีนี้ยังไม่ได้ดำเนินการทันที เมื่ออัยการได้ลงไปทำคดี จึงได้สั่งให้ชันสูตรใหม่ทั้งหมด เพราะที่ทำมานั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โชคดีที่แพทย์ยังทำรายงานยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แม้ว่าจะได้รับคำให้การเท็จมาจากตำรวจในตอนแรก และยังโชคดีที่แพทย์ได้ทำการผ่าพิสูจน์ไว้อย่างละเอียด จึงได้สั่งให้ชันสูตรใหม่ ก็ได้ผลกลับมาสอดคล้องกับพยานหลักฐาน และกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ ทั้งนี้ การที่อัยการและฝ่ายปกครองลงไป จะทำให้ทุกฝ่ายได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดร่วมกัน ใครจะบิดเบือนสิ่งต่างๆได้ยาก ช่วงนี้หากยังแจ้งข้อกล่าวหาไม่ครบถ้วนนั้น เป็นเพราะยังอยู่กระบวนการสอบสวน ทั้งนี้เชื่อว่า แพทย์ได้ทำหน้าที่ด้วยความสุจริต ตามการสอบสวนและหลักฐานที่มี

แสดงความเห็น