พรรคกล้า อัด ศบค.ขู่ประชาชนให้กลัว ไม่เน้นสื่อสารทำความเข้าใจ ทำเสียโอกาสแก้โควิด

นายอริย์ธัช ชาติอาริยะพงศ์ ผู้สมัคร ส.ก.เขตสวนหลวง พรรคกล้า กล่าวถึงมติที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ เห็นชอบให้พื้นที่สีแดง 18 จังหวัด ซึ่งรวมกรุงเทพฯ และพื้นที่เหลือ 59 จังหวัดเป็นพื้นที่ควบคุมสีส้ม อยู่ในมาตรการที่ยกระดับขึ้น ในภาพรวมคือกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะเริ่มถูกจำกัดตั้งแต่เวลา 21.00 น. พอถึงเวลา 23.00 น. กิจกรรมทางเศรษฐกิจทุกอย่างแทบจะหยุดลงทั้งหมดแม้แต่ร้านสะดวกซื้อ 24 ชม.ก็ต้องหยุดทำการ แนวนโยบายนี้แม้นายกรัฐมนตรีจะยืนยันว่าไม่ใช่เคอร์ฟิวและล็อกดาวน์ แต่ด้านผลกระทบคาดว่าจะไม่แตกต่างกัน เพราะหลายธุรกิจจะมีเวลาขายสั้นลง ส่วนที่กระทบหนักแน่คือธุรกิจประเภทสถานบันเทิงเพราะต้องหยุดกิจการไปเลย ซึ่งการออกมาตรการรอบนี้ไม่ได้ชี้แจงถึงแนวทางช่วยเหลือเยียวยาเอาไว้ด้วย คาดว่าหลังจากนี้คงมีเจ้าของกิจการจำนวนมากต้องปิดตัวไปอย่างแน่นอน

“เข้าใจดีว่าสถานการณ์แบบนี้ต้องมีมาตรการควบคุม แต่ต้องยอมรับความจริงด้วยว่าการเกิดคลัสเตอร์ใหญ่แต่ละครั้งล้วนเกิดจากการการ์ดตกของภาครัฐในการควบคุมพื้นที่เสี่ยงทั้งสิ้น ไม่ใช่เกิดจากการระบาดในพื้นที่วิถีชีวิตปกติ ดังนั้น การทานอาหารในร้านไม่ว่าช่วงเวลาไหน หากมีมาตรการรักษาระยะห่างและดูแลความสะอาดได้ดี ก็ควรจะเปิดได้ ไม่ควรจะเหมารวม เช่นเดียวกับสถานบันเทิงที่ปฏิบัติตามมาตรการได้ดีมาตลอดแต่กลับต้องถูกสั่งหยุดซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยที่เขาไม่ได้ผิดอะไรเลยแบบนี้รัฐจะเยียวยาอย่างไรให้พวกเขาได้บ้าง”

นายอริย์ธัช กล่าวต่อไปว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือรัฐต้องเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารจากการขู่ให้กลัวเป็นสร้างความเข้าใจจะทำให้มีโอกาสแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างสมดุลกว่าที่เป็นตอนนี้ แน่นอนว่าเรายังมีความหวังจากวัคซีนที่จะเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆในเดือน มิ.ย. แต่ระหว่างนี้สิ่งที่อยากเห็นมากกว่าจากมาตรการยกระดับความเข้มข้นในวันนี้ คือการเสริมเขี้ยวเล็บให้มาตรการรุกตรวจเพื่อให้ตรวจเจอเชื้อเร็วขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ตนย้ำมาแล้วหลายครั้งว่าเป็นกุญแจสำคัญของหลายประเทศที่ทำให้การควบคุมเชื้อทำได้สำเร็จโดยไม่ต้องออกมาตรการที่เข้มงวดหรือเหมารวมจนกระทบวิถีชีวิตปกติมากเกินไป โดยรุกเข้าไปตรวจในวงที่เกี่ยวข้องได้โดยเร็ว ซึ่งอาจมีการแจก self-testkit ให้ตรวจด้วยตนเองร่วมด้วยเหมือนที่อังกฤษ เกาหลีใต้และญี่ปุ่นใช้ ซึ่งการที่รัฐมนตรีสาธารณสุขเคยชี้แจงว่าที่เราไม่นำมาใช้เพราะกลัวว่าประชาชนจะแปลผลผิดใช้ไม่เป็นนั้นเป็นการดูเบาประชาชนมากเกินไป และถึงจะมีบ้างก็เชื่อว่าจะส่งผลในทางบวกมากกว่าลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้คู่กับการกักตัว 

นอกจากนี้ก็ควรมีการสื่อสารถึงมาตรการการเข้าถึงระบบบริการ สธ.เมื่อพบว่าติดเชื้อว่าคืบหน้าไปถึงไหน การแก้ปัญหาโรงพยาบาลสนามที่ทำให้รู้สึกเป็นส่วนตัวมากกว่าไปอยู่อย่างแออัดและตึงเครียด เช่น การประสานฮอลล์แสดงสินค้าขนาดใหญ่ซึ่งในกรุงเทพมีหลายแห่งที่ควรรีบประสานจัดการ หรือกระทั่งมาตรการเตรียมความพร้อมหากต้องกักตัวเองที่บ้าน เพราะในกรณีที่สถานการณ์ควบคุมได้ยาก เนื่องจากมีอัตราการครองเตียงที่สูงต่อคนเป็นเวลา 14 วัน อาจทำให้เกิดการล้นในระบบ ก็ควรมีการทำความเข้าใจให้เกิดขึ้นได้จริงเพื่อรองรับสถานการณ์ไว้ แต่การสื่อสารในวันนี้กลับไม่มีเรื่องมาตรการเหล่านี้อย่างชัดเจนเลย จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายโอกาสในการแก้ไขสถานการณ์ให้ทุกคนสามารถรู้สึกโล่งใจได้ไปอีกครั้งหนึ่ง

แสดงความเห็น