จาก ‘ฉลามชล’ คนหนีตาย กลายเป็น ‘แคนดิเดตแชมป์’

DST.Special Report : ในบรรดา 4 ทีมรอบรองชนะเลิศ รายการ ช้าง เอฟเอ คัพ ที่ผ่านมา “ฉลามชล” ชลบุรี เอฟซี ถูกยกให้เป็นเต็ง 4 และน่าจะถูก “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ตัวเต็งนัมเบอร์วันบดขยี้ได้ไม่ยาก

แต่ปรากฏว่า “ชลบุรี” กลับหักปากกาเซียน แหวกมหาสมุทรกระโดดกัด บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ตกรอบไป 2-1 พาตัวเองเข้าชิงลุ้นแชมป์สมัยที่ 3 

อย่างว่า นี่คือ เสน่ห์ของฟุตบอลถ้วย ที่วัดกันในนัดเดียว ไม่ว่าคุณเป็นใครในตารางคะแนน มันจะไม่มีผลต่อกันเมื่อต้องฟาดฟันกันใน 90 นาที

ต้องบอกว่า ชลบุรี เอฟซี ห่างหายจากการเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลรายการนี้มาแล้ว 11 ปี นับจากการคว้าโทรฟี่ในปี 2553 (ไม่นับการคว้าแชมป์ร่วมในปี 2559 ที่ทัวร์นาเมนต์จบแค่รอบรองฯ)

ก่อนหน้านี้คงไม่มีใครคิดว่า “ฉลามชล” ที่ต้องแหวกว่าย หนีตายในตอนท้ายฤดูกาล มีคะแนนห่างจากโซนตกชั้นเพียง 4 คะแนน 

จะกำราบรองแชมป์ลีกอย่างบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ฟอร์มแจ่มลงได้ ดังนั้น ในนัดชิงชนะเลิศวันที่ 11 เมษายนนี้ คงไม่มีใครกล้ามองพวกเขาเป็นฉลามนอกสายตาอีกแล้ว

ขณะที่คู่ชิงชนะเลิศของพวกเขาอย่าง “กว่างโซ้งมหาภัย” สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ถือเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว เพราะในหลายปีหลังมานี้ ทีมแห่งดินแดนล้านนาทำผลงานได้ดีมาตลอด 

ตลอดระยะ 9 ปีหลังมานี้ เชียงรายฯ เข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศถึง 8 ครั้ง และ 3 ใน 8 ครั้งคือ การเข้าชิงชนะเลิศ (รวมครั้งนี้) โดย 2 ครั้งที่เข้าชิงชนะเลิศ จบด้วยการคว้าถ้วยทั้งสิ้น

ดังนั้น ว่ากันด้วยชื่อชั้น เกียรติประวัติ (ไม่นับผลงานในลีกฤดูกาลนี้) การที่ชลบุรี เอฟซี ชิงชนะเลิศ กับ เชียงราย ยูไนเต็ด จึงถือว่า สมน้ำสมเนื้อ และสูสี

ขณะเดียวกัน ผลพวงจากการคว้าแชมป์ เอเอฟ คัพ ยังจะทำให้พวกเขาสามารถเข้าไปเล่นศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนลีกส์ รอบแบ่งกลุ่ม อัตโนมัติ ไม่ต้องไปเพลย์ออฟเหมือนกับอันดับที่ 2 และ 3 ในลีก 

สำหรับ เชียงราย ยูไนเต็ด พวกเขาพลาดโควตาในลีก เพราะจบอันดับ 4 ก่อนหน้านี้เล่นไพ่สองหน้าคือ 

ใช้ลมหายใจตัวเอง หรืออย่างน้อยหากตัวเองต้องตกรอบ

ต้องลุ้นให้ บุรีรัมย์คว้าแชมป์ไป เพื่อจะได้ไปเล่น ACL รอบเพลย์ออฟในอันดับ 4 

แต่ตอนนี้บุรีรัมย์ตกรอบ และพวกเขาเข้าถึงรอบชิง จึงเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตตัวเองเรียบร้อย

ส่วน ชลบุรี เอฟซี คือ ทีมที่เคยไปเล่น ACL และทำผลงานได้ดีเป็นสโมสรแรกๆ ในอดีต หลายปีมานี้ร้างลารายการนี้ไปนาน เพราะอันดับในตารางไม่เอื้ออำนวย นี่จึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะขึ้นลิฟต์กลับไปสูดดมรายการระดับเมเจอร์อีกครั้ง

อย่างไรก็ดี หลายคนยกให้เชียงราย ยูไนเต็ด มีภาษีดีกว่าที่จะคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ เพราะเป็นพวกขาประจำในถ้วยนี้ไปแล้ว 

เพียงแต่อย่าชะล่าใจ เพราะบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่หวังเอาไว้มากยังน้ำตกจากการโดนฉลามกัดมาแล้ว

เหนือสิ่งอื่นใด อย่าลืมว่า ปัจจุบัน ชลบุรี เอฟซี มีโค้ชชื่อ “มูรินเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ ชายผู้เคยพา การท่าเรือ เอฟซีคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ มาแล้วในปี 2552 

รวมไปถึงแชมป์ไทยลีกคัพในปี 2553

แม้ใครจะมองว่า “โค้ชเตี้ย” เป็นพวกพูดจายียวน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาก็ไม่น้อยหน้าใครในการแข่งขันฟุตบอลนัดเดียว ดังนั้น อย่าเพิ่งรีบปรามาส

มันจะเป็นฤดูกาลที่มีเรื่องให้พูดถึงแค่ไหน ที่ทีมที่ต้องหนีตายจบเกือบท้ายตาราง คว้าแชมป์บอลด้วยแล้วไปปรากฎตัวในเวทีเอเชียอีกครั้ง แบบว่า ปาดหน้าเพื่อนร่วมลีกที่มีคะแนนเหนือตัวเองไม่รู้กี่ทีม

___________

เรียบเรียงโดย : วนิลาสกาย

ขอบคุณภาพ ชลบุรี เอฟซี , สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด

แสดงความเห็น